เทรนด์ความสุขแบบ JOMO คืออะไร ไม่ FOMO ตามกระแส
(dole777)
FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หมายถึง อาการกลัวตกข่าว กลัวพลาดเหตุการณ์สำคัญ กลัวไม่ทันเทรนด์ หรือในวงการเศรษฐกิจ หุ้น อาจใช้คำว่า กลัวตกรถ กลัวซื้อหุ้นไม่ทันรอบนี้ที่กำลังขึ้น ซึ่งสังคมปัจจุบันคนมีอาการ 'FOMO' มีเยอะมาก จากผลสำรวจสถิติและพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยตั้งแตปี 2564 นี้พบว่า คนไทยใช้ social media เป็นอันดับ 20 ของโลก คิดเป็น 78.7% ของประชากรทั้งหมด โดยใช้แพลตฟอร์ม Facebook มากที่สุด รองลงมาคือ Youtube Whatsapp แชทเฟส Messenger Instragram ส่วน twitter ยังอยู่ลำดับท้าย ๆ ในกลุ่มหมู่วัยรุ่น จากผลสำรวจวัตถุประสงค์ที่เล่น social media เพื่ออัพเดตข่าวสารมากที่สุด รองลงมาเล่นเพื่อความบันเทิง เล่นฆ่าเวลา ใช้เป็นพื้นที่อัพเดตเรื่องราวส่วนตัวและติดต่อเพื่อน
กลุ่ม FOMO มีอาการ'ติดมือถือ' ต้องเช็คมือถือบ่อย ๆ รู้สึกกระวนกระวายหรือไม่สบายใจเมื่อลืมพกโทรศัพท์มือถือติดตัว ทำให้ผู้คนก้มหน้าอยู่ในโลกออนไลน์โดยไม่สนใจโลกภายนอก การพูดคุยต่อหน้า มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลง โทรศัพท์บางรุ่นจึงมีการแจ้งเตือนจำนวนชั่วโมงใช้งานโทรศัพท์มือถือในแต่ละวันด้วยความห่วงใย โดยทีมวิจัย Google ใน Android ตั้งข้อสังเกตว่า เทคโนโลยีที่มากเกินไปกำลังเข้ามารบกวนชีวิตของผู้คน จึงพยายามสร้างเครื่องมือเพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานเพื่อให้รู้ว่าใช้งานโซเชียลมีเดียมากเกินไปหรือไม่
เทรนด์ใหม่ที่ตรงข้ามกับ FOMO คือคำว่า JOMO ย่อจาก JOY of Missing Out หมายถึง การค้นพบความสุขโดยไม่กลัวตกข่าว สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ติดโทรศัพท์ เพราะการเสพข่าว การเสพเรื่องราวชีวิตของคนอื่นหรือเสพติดดราม่าในระดับที่ 'มากจนเกินไป' บางครั้งทำให้เราเกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัวได้ หรือเกิดความไม่พอใจในตัวเองเพราะแอบเปรียบเทียบชีวิตเรากับชีวิตคนอื่นผ่านโพสต์ต่าง ๆ ส่วนผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ภาวะปวดเมื่อยนิ้ว อาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากท่าทางก้มมองหน้าจอมากเกินไป มีข้อแนะนำให้ยกหน้าจอขึ้นมาให้คอก้มต่ำน้อยที่สุด โดยให้หูอยู่ในระดับตรงกับคอ เพื่อป้องกันปัญหากระดูกต้นคอและกระดูกสันหลังที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
(Kenneth Hansraj)
ความวุ่นวายจากโซเชียลมีเดียทำให้คนจำนวนมากเลือกหันหลังให้โซเชียลมีเดีย รับเฉพาะข่าวสารที่จำเป็น โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึก ดูแลสุขภาพจิตของตัวเองมากขึ้น ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองดูว่าเราติดโทรศัพท์หรือไม่ ค่อย ๆ บริหารเวลาการใช้โลกออนไลน์ เช่น ฉันจะเล่นแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแล้วจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น หรือลองใช้เทคนิค prioritizing ให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตมากกว่าตามลำดับ สิ่งไหนสำคัญมากกว่าเราจะใช้เวลาทำสิ่งนั้นมากกว่า เทคโนโลยีไม่ได้มีแต่ข้อเสียซะทีเดียว แต่ละคนสามารถใช้เป็นแนวทางพัฒนาตัวเองหรือหาสกิลเพิ่มเติมได้ เช่น ฟัง podcast เกี่ยวกับจิตวิทยา เรียนรู้แนวทางการลงทุนบน youtube ดูหนังเพื่อฝึกภาษา เป็นต้น
ดังนั้น หากลองลดพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียลงในแต่ละวันอยู่กับตัวเอง หรือทำกิจกรรม offline อื่นบ้าง อ่านหนังสือ ดูแลต้นไม้ ปั่นจักรยาน หรือทำงานอดิเรกต่าง ๆ โดยไม่กังวลว่าฉันจะพลาดข่าวสารต่าง ๆ ไป อาจทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและยินดีด้วยคุณกำลังเข้าสู่ JOMO ได้แล้ว