'อั๋ว' จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ จวกรัฐบาลว่า "รัฐบาลอย่าโง่ค่ะ" กรณีนำเงินมาแจกประชาชน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอั๋วไปรายงานตัวคดีสาดสีหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะยิ่งทำแบบนี้รัฐก็ยิ่งเสื่อม ประชาชนก็เห็นเองว่าในช่วงที่ประชาชนลำบากยากเข็ญแต่รัฐบาลก็ยังทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับใช้งบประมาณเพื่อทำลายผู้ชุมนุมเพียงอย่างเดียว
ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศไทยเผชิญกับความยากลำบากอย่างยิ่ง โดยในช่วงการระบาดครั้งแรกดัชนีค้าปลีกไทยลดลงทันที 29% ในเดือนเมษายน และยังไม่สามารถฟื้นตัวสู่ระดับปรกติก่อนโควิดได้จนถึงวันนี้ ซึ่งดัชนีค้าปลีกเป็นตัวชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งที่สะท้อนความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย
จากตัวเลขเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อรัฐบาลทำการเยียวยา 15,000 บาทในช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคม ได้ทำให้ดัชนีค้าปลีกฟื้นตัวประมาณ 20% ทันทีเช่นกันจากเงินในมือประชาชนที่มากขึ้น แต่ก็เมื่อหมดช่วงการเยียวยาดัชนีค้าปลีกก็ยังไม่ฟื้นตัวแถมยังมีแนวโน้มแกว่งตัวลงอย่างช้า ๆ สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจฐานรากยังไม่ฟื้นอย่างแท้จริงแต่อยู่ได้ด้วยเงินอัดฉีดของรัฐบาล
มาตรการเยียวยา “เราชนะ” ของรัฐบาลครั้งนี้ที่นอกจากจะเค็มกว่าเดิมแล้ว ยังใช้ยากอีกด้วย เพราะคนรากหญ้า คนแก่ หรือคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้น้อยจะแทบไม่ได้รับประโยชน์เลยและนโยบายนี้โดยเนื้อผ้าแล้ว ได้มุ่งไปที่การซื้อของมากกว่าการให้เป็นเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ จ่ายค่าเทอม หรืออื่น ๆ บ่งบอกเราว่ารัฐบาลต้องการจำกัด “ขาลง” ของเศรษฐกิจไม่ใช่ฟื้นฟูและสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ที่สุดคือนายทุนที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าปลีกอย่างไม่มีข้อกังขาที่สามารถขายของได้มากขึ้น และสุดท้ายเงินนี้จะละลายไปกับนายทุน คนไทยก็จะลำบากอย่างถ้วนหน้าเหมือนเดิมเมื่อนโยบายนี้จบลง
ดังนั้นรัฐบาลอย่าโง่ค่ะ คนเขารู้ทันทั้งประเทศ ถ้าจะให้ต้องให้ทุกคนถ้วนหน้า เพราะเงินที่รัฐบาลใช้มันมาจากเงินกู้ที่ทุกคนในประเทศเป็นหนี้ เมื่อทุกคนเป็นหนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงที่มีบางคนได้รับการเยียวยาแต่บางคนไม่ได้อะไรเลย
.
อ้างอิงจาก: การเมืองไทย ในกะลา, 'อั๋ว' จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์