ซีพีเปิดโรงงานหน้ากากอนามัย รับผู้ตรวจการแผ่นดิน เคลียร์ปัญหาคาใจสังคม
หลังจากนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนให้ตรวจสอบการผลิตหน้ากากอนามัยของซีพี คณะผู้บริหารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นำโดย นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เข้าตรวจเยี่ยมโรงงานหน้ากากอนามัย บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด วิสาหกิจเพื่อสังคมในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2564 โดยให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจสอบว่า มีความเข้าใจในกระบวนการทำงานของซีพี เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนว่าซีพีมีเป้าหมายทำเพื่อการแพทย์และพื่อสาธารณะ โดยมีการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน กระทั่งสถานการณ์ความขาดแคลนหน้ากากอนามัยดีขึ้น
ด้านตัวแทนซีพี โดยนายภูมิชัย ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียล อิมแพคท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงงานหน้ากากอนามัยซีพี ให้รายละเอียดที่สรุปได้ว่า
- โรงงานหน้ากากอนามัยซีพี เริ่มต้นผลิตและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask)ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นต้นมา ตามเจตนารมย์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นผู้พิจารณา กำหนดผู้รับและสถานที่ รวมถึงความต้องการในการแจกจ่าย โดยนำไปแจกจ่ายฟรีแก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชาชนกลุ่มเปราะบาง
- จนถึงสิ้นปี 2563 ได้ผลิตและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยไปแล้วกว่า 11 ล้านชิ้น มอบให้แก่โรงพยาบาล องค์กรการกุศล และมูลนิธิทั่วประเทศไทยกว่า 1,000 แห่ง
- รายละเอียดการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย แบ่งเป็นระยะ
- ระยะแรก เริ่มตั้งแต่ 16 เมษายน 2563 : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ได้มุ่งเน้นแจกจ่ายแก่บุคลากรทางการแพทย์ และโรงพยาบาล เป็นลำดับแรก โรงงานจึงต้องผลิตในกำลังการผลิตสูงสุด ทำงาน 24 ชั่วโมง ภายใต้ความยากลำบากในการหาวัตถุดิบที่ขาดแคลนทั่วโลก เนื่องจากในช่วงเวลานั้น หลายโรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลน ทำให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภารกิจของภาครัฐในการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นหน้าด่านในการต่อสู้กับโควิด-19
- ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2563 : ระยะขยายการแจกจ่ายจากบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยแจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล จำนวน 4 ล้านชิ้น และบางส่วนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางผ่านเครือข่ายกาชาด จำนวน 1 ล้านชิ้น รวมทั้ง 2 ระยะ เป็นจำนวน 8 ล้านชิ้น
- ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2563 : เนื่องจากมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก และเมื่อสำรวจความต้องการในตลาดและปริมาณการผลิตในประเทศ เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ จึงมีเจตนารมย์ให้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยปรับกระบวนการผลิตกลับมาอยู่กำลังการผลิตปกติ โดยสำรองหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ เดือนละประมาณ 300,000 ชิ้น (365,000 ชิ้น)
- ระยะแรก เริ่มตั้งแต่ 16 เมษายน 2563 : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ได้มุ่งเน้นแจกจ่ายแก่บุคลากรทางการแพทย์ และโรงพยาบาล เป็นลำดับแรก โรงงานจึงต้องผลิตในกำลังการผลิตสูงสุด ทำงาน 24 ชั่วโมง ภายใต้ความยากลำบากในการหาวัตถุดิบที่ขาดแคลนทั่วโลก เนื่องจากในช่วงเวลานั้น หลายโรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลน ทำให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภารกิจของภาครัฐในการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นหน้าด่านในการต่อสู้กับโควิด-19
- การจำหน่าย
- เพื่อให้เกิดรายได้นำมาใช้ในการดำเนินโรงงานอย่างยั่งยืน ตามหลักการของวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงจำหน่ายให้กับบริษัทในเครือฯ โดยแต่ละบริษัทสามารถลงงบประมาณ เพื่อให้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยผลิตนำไปบริจาคและแจกจ่ายฟรี
- ราคาจำหน่ายตามกฎหมายชิ้นละ 2.50 บาท
- โดยจัดสรรกำไรทั้งหมดจากการดำเนินกิจการโรงงานหน้ากากอนามัยในทุกปีการผลิต ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ดังนี้
- ศูนย์โรคหัวใจ 30%
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ 30%
- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 30% และ
- สภากาชาดไทย 10%
- ปัจจุบันยังไม่มีการจำหนายให้กับบุคคลภายนอก รวมถึงไม่ได้จำหน่ายในร้าน 7-11 แต่อย่างใด
- เพื่อให้เกิดรายได้นำมาใช้ในการดำเนินโรงงานอย่างยั่งยืน ตามหลักการของวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงจำหน่ายให้กับบริษัทในเครือฯ โดยแต่ละบริษัทสามารถลงงบประมาณ เพื่อให้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยผลิตนำไปบริจาคและแจกจ่ายฟรี
สรุปว่ากำลังการผลิตในแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน ช่วงวิกฤติตั้งแต่เดือนเม.ย. – ส.ค. 2563 ผลิตโดยเฉลี่ย 3 ล้านชิ้นต่อเดือน หลังช่วงวิกฤติ ในตลาดมีหน้ากากอนามัยมากขึ้นแล้ว ยอดการผลิตจึงลดลง ส่วนการขายก็เป็นไปตามหลักการของวิสาหกิจเพื่อสังคม และขายในราคาตามกฎหมาย ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย มอบให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ 100% ซึ่งขณะนี้มีรายได้เฉพาะจากการขายให้กับบริษัทในเครือฯ เพื่อนำไปบริจาคให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร้องขอ
หวังว่าจะจบดราม่า แต่ถ้ายังมีคำถามต่อว่า ฉันก็ประชาชน ทำไมไม่เคยได้รับแจก ขยายความให้จากข้อมูลที่เขาตอบไว้แล้วว่า ถ้าคุณเป็นกลุ่มผู้เปราะบาง คุณก็อาจจะได้รับจากหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ที่รับไปแจก แต่หากคุณเป็นประชาชนปกติทั่วไป คุณก็ไม่ใช่กลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจริงหรือเข้าถึงหน้ากากอนามัยได้ยาก เพราะปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม่ได้อยู่ในช่วงภาวะขาดแคลน และถ้ายังมีคำถามอีกว่า ทำไมไม่ขายให้ประชาชน ก็ตอบได้คล้าย ๆ คำถามที่แล้วว่า ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงวิกฤติ วัตถุดิบที่นำมาผลิตหน้ากากอนามัยไม่ได้ขาดแคลนอย่างหนักเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงมีบริษัทผลิตหน้ากากอนามัยจำหน่ายจำนวนมาก สามารถเลือกซื้อได้จากธุรกิจปกติทั่วไป แล้วถ้ายังจะอยากถามว่า ทำไมไม่ขายทั่วไป จะได้มีรายได้มอบให้รพ.จุฬาฯ เยอะ ๆ อันนี้ก็ต้องตอบตามเซ้นส์เอาเองว่า การบริจาคมากหรือน้อยเป็นเรื่องของเขา เพราะเขาลงทุน จะให้แค่ไหนก็อยู่ในดุลพินิจของเขา ที่เขาให้อยู่ตอนนี้ ผู้รับคือโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็พอใจแล้ว ถ้าใครอยากจะหาเรื่องค่อนแคะเขาอีก อย่าลืมหันไปมองตัวเองด้วยว่า ให้อะไรแก่สังคมบ้าง หรือหันไปมองพวกบริษัทใหญ่อื่น ๆ ที่มี แต่ไม่แบ่งปัน จะดีกว่ามากดดันคนที่เขาแบ่งปันให้แล้ว จบนะ!
---------------------
ข้อมูลข่าวมติชน, TNN






















