เยอรมนีมีชื่อเสียงในฐานะประเทศที่แข็งกร้าวและหนาวเหน็บและนี่อาจเป็นเรื่องจริงเมื่อคุณพูดถึงเมืองใหญ่ ๆ แต่ไม่ใช่เมื่อพูดถึงเมืองเล็ก ๆ ที่คุณจะได้พบกับคนในท้องถิ่นที่อบอุ่นและสัมผัสกับบรรยากาศพิเศษที่จะนำมา คุณย้อนกลับไปหลายร้อยปี ตั้งแต่ทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาแอลป์บาวาเรียไปจนถึงความเงียบสงบที่ล้อมรอบแม่น้ำไรน์เมืองที่งดงามทั้ง 12 แห่งในเยอรมนีจะทำให้คุณประทับใจและทำให้คุณต้องวางแผนการเดินทางไปยุโรปครั้งต่อไป

1. โคเคม

แม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับการปลูกพืชบนระเบียง แต่คุณสามารถเห็นสวนผลไม้ที่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะล้มและกลิ้งลงมาจากเนินเขา เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ทอดยาวไปตามแม่น้ำโมเซลที่งดงามและเมื่อคุณยืนอยู่ระหว่างที่นี่กับสวนผลไม้คุณจะรู้สึกราวกับว่าคุณได้ก้าวเข้าไปในภาพลวงตา ในขณะที่คุณเดินเล่นไปตามถนนคุณจะเห็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของสถาปัตยกรรมบาร็อครวมถึงบ้านไม้ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

2. Wertheim am Main

ใน Wertheim am Main มีเรือจำนวนมากที่ล่องไปตามทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี แต่คุณอาจต้องการใช้เวลามากกว่าสองสามชั่วโมงบนชายหาดของเมืองที่งดงามแห่งนี้ บนเนินเขาถัดจากนั้นเป็นปราสาทโบราณที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และหอคอยทรงแหลมหรือที่เรียกว่า "หอเอนของเวิร์ทไฮม์" เนื่องจากน้ำท่วมทำให้ฐานรากอ่อนแอจึงเป็นสถานที่ที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน นอกจากนี้คุณจะพบร้านค้ามากมายที่ขายของที่ระลึกจากแก้วเนื่องจาก Wertheim มีชื่อเสียงในด้านช่างทำแก้วที่มีพรสวรรค์

 

3. Rottach Egern

ในเมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้คุณจะได้พบกับการผสมผสานสีที่น่าทึ่ง สีแดงจากหลังคาสีเขียวจากต้นไม้รอบ ๆ และสีฟ้าจากน้ำในทะเลสาบที่ใสสะอาด เมืองนี้อยู่ใกล้ชายแดนออสเตรียและเป็นสถานที่พักผ่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการล่องเรือในแม่น้ำเดินป่าปีนเขาหรือชมการแสดงทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เมื่อมีเทือกเขาแอลป์อยู่เบื้องหลัง Egern ยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่สนใจเล่นกีฬาฤดูหนาว

4. Binz

ท่าเรือของเมือง Binz ถูกใช้ในศตวรรษที่ 14 และตั้งอยู่บนเกาะ Rugen ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะเยอรมันทั้งหมดในทะเลบอลติก เมืองนี้มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์และครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองประมงเล็ก ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 1875 เมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกมาถึง ... โรงแรมแห่งแรกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2423 และเมื่อคุณเห็นอาคารเก่าแก่มากมายที่เรียงรายอยู่ ใจกลางเมืองคุณจะย้อนเวลากลับไปเป็นร้อยปี

 

5. บาดวิมพ์เฟิน

เมื่อคุณเยี่ยมชม Bad Wimpfen คุณจะคิดว่าคุณได้เข้าสู่เทพนิยายเพราะหอคอยแหลมที่ดูเหมือนจะแตะท้องฟ้า เมืองเก่าแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์และหากคุณปีนขึ้นไปทั้งหมด 167 ขั้นของ Blue Tower คุณจะเห็นทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในเมืองยุคกลางแห่งนี้ มีสองกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดหากคุณกำลังเยี่ยมชม ได้แก่ Talmarkt หรือ Valley Markey ซึ่งเป็นเทศกาลสนุก ๆ ที่จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมและตลาดคริสต์มาสซึ่งถือว่าสวยงามที่สุดในทั้งหมด ของเยอรมนี

 

6. มิทเทนวาลด์

"หนังสือภาพมีชีวิตขึ้นมา" โยฮันน์โวล์ฟกังฟอนเกอเธ่กวีและนักปรัชญาชาวเยอรมันเคยกล่าวถึงเมืองนี้และเรามั่นใจว่าคุณจะเห็นด้วยกับเขาหากคุณเคยมีโอกาสเดินผ่าน Mittenwald ด้วยตัวเอง ที่นี่คุณจะเห็นอาคารยุคกลางที่มีหน้าต่างหลากสีถนนที่เต็มไปด้วยดอกไม้และแม่น้ำไหลผ่าน ที่นี่คุณจะเห็นเทือกเขาแอลป์เป็นฉากหลังขณะที่คุณเดินเล่นในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของการค้าในยุคกลาง

 

7. มนต์เชา

การปรากฏตัวของเมืองนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในรอบ 300 ปีถนนยังคงปูด้วยหินและบ้านหลายหลังที่คุณจะเห็นที่นี่ทำจากไม้ ในเมืองนี้มีเทศกาลดนตรีคลาสสิกที่จัดขึ้นทุกปีในเดือนสิงหาคมและแม้ว่าคุณจะไม่สามารถเข้าชมได้ในช่วงเวลานี้คุณก็สามารถเพลิดเพลินไปกับสายน้ำของแม่น้ำรูร์ซึ่งไหลเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ชายแดนเบลเยี่ยม

8. Triberg im Schwarzwald

เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงในป่าดำ นี่คือเมืองยอดนิยมในภูมิภาคนี้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องนาฬิกานกกาเหว่า - ที่นี่คุณจะได้เห็นนาฬิกานกกาเหว่าที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Black Forest และอยู่ใกล้เส้นทางเดินป่าไปยังน้ำตก Triberg ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี

 

9. รูเดสไฮม์อัมไรน์

หากคุณต้องการลิ้มรสไวน์เยอรมันสักหน่อย Rudesheim am Rhein คือเมืองสำหรับคุณ! สถานที่ที่งดงามแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวประมาณ 3 ล้านคนในแต่ละปีซึ่งส่วนใหญ่มาเพื่อลิ้มรสไวน์ขาวและไวน์แดงที่ผลิตที่นั่น นอกจากไวน์แล้วนักท่องเที่ยวยังเพลิดเพลินไปกับความงามที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์ของ Rudesheim เนื่องจากโรงกลั่นไวน์เติมเต็มด้านหนึ่งและแม่น้ำไรน์ไหลอยู่ข้างๆอีกด้านหนึ่ง สถาปัตยกรรมของเมืองมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งนอกจากนี้ยังมีปราสาทโบราณอยู่ใกล้ ๆ และหากคุณรู้สึกอยากเห็นสิ่งต่างๆที่คุณอาจไม่เคยเห็นจากที่อื่นคุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การทรมานในท้องถิ่น ...

 

10. บาคาราช

หากคุณล่องเรือไปตามแม่น้ำไรน์คุณอาจจะผ่านเมืองบาครัคหรือแม้แต่ทอดสมอ เมืองนี้ถือได้ว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งริมแม่น้ำสายนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงและบ้านบางส่วนสร้างด้วยไม้สีแดงสดที่เน้นสีสันของดอกไม้ในทุกมุม หลังจากเดินเล่นไปตามถนนเล็กน้อยแล้วปล่อยให้เท้าของคุณได้พักดื่มไวน์ Riesling ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น

 

11. Dinkelsbuhl

เมือง Dinkelsbuhl เพิ่มลักษณะและความสวยงามให้กับภูมิทัศน์ของเยอรมนีเนื่องจากเป็นหนึ่งในเมืองโบราณที่เหลืออยู่ไม่กี่เมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ ในอดีตเคยเป็นเมืองสำคัญของโรมันและปัจจุบันชาวเมืองเฉลิมฉลองการปลดปล่อยหลังจากสงครามสามสิบปีในเทศกาล Kinsberg ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ในบรรดาสถานที่ต่างๆที่คุณอยากเห็น ได้แก่ โบสถ์เซนต์จอร์จในศตวรรษที่ 15 และหอคอยที่อยู่ถัดจากนั้นสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12

 

12. เควดลินเบิร์ก

หากคุณมีภาพที่เฉพาะเจาะจงว่าเยอรมนีในยุคกลางควรมีลักษณะอย่างไรเมือง Quedlinburg อาจจะพอดีกับภาพนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะเห็นอาคารที่มีหลายชั้นสร้างขึ้นบางส่วนจากป่าถนนที่ปูด้วยหินและรถม้า นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้วขอแนะนำให้คุณไปที่โบสถ์คอลเลจิเอท (Collegiate Church) ซึ่งถือเป็นการสร้างสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์อันงดงาม ดูเหมือนว่าในยุโรปทั้งหมดคุณจะไม่พบเมืองในยุคกลางที่อนุรักษ์ไว้เช่น Quedlinburg อย่างที่คุณเคยเห็นมาเยอรมนีอาจกลายเป็นสถานที่ที่อบอุ่นและน่าอยู่หากคุณรู้ว่าควรไปที่ไหนและเมืองเก่าแก่ที่งดงามทั้ง 12 แห่งนี้ขอแนะนำอย่างแน่นอนสำหรับทุกคนที่ต้องการเห็นอีกด้านหนึ่งของประเทศที่ยอดเยี่ยม