ความรู้เรื่องครุยพราหมณ์
ชุดครุยพราหมณ์นั้น เป็นผ้าพื้นสีขาวมีลวดลายขีด แถบใหญ่น้อยต่าง ๆ ตามลำดับชั้นยศของพราหมณ์ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีนั้นจะใส่ครุยเฉวียนบ่า ซึ่งคำว่าเฉวียนนั้นในพจนานุกรมแปลว่า [ฉะเหฺวียน] ว. เวียน วนเวียน ซึ่งการใส่เฉวียนบ่านั้นคือการใส่ครุยเฉพาะเเขนซ้ายเพียงข้างเดียวเท่านั้น ส่วนเเขวนขวาจะใส่เฉวียนบ่า คล้ายกับการห่มอังสะหรือสังฆาฏิพระ การใส่ครุยของพราหมณ์ยังถูกกำหนดด้วยกฏระเบียบการแต่งกายพราหมณ์ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา สมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ที่กล่าวถึงพระราชกำหนดเรื่องเสื้อครุยสำหรับพราหมณ์ไว้อย่างน่าสนใจ
ตัวอย่างเช่น "มาตรา ๖ ลักษณะที่จะสวมเสื้อครุยนั้น ถ้าเปนผู้มีน่าที่กระทำการพิธีให้สรวมทั้งตัว หรือสรวมเฉียงบ่า อย่างใดอย่างหนึ่งตามควรแก่กิจ ถ้าไม่มีหน้าที่กระทำการพิธี จะสรวมทั้งตัวหรือจะห่มครุมไหล่ก็ได้เหมือนกัน" การเป็นพราหมณ์นั้นมาจากเลือดเนื้อเชื้อสายที่มีการถ่ายทอดเฉพาะตระกูล แต่ด้วยบริบทที่จำเป็นในวัฒนธรรมเเบบชาวบ้าน
จึงเกิด "สมมุติพราหมณ์" ขึ้นมา กระบวนการนำเเบบอย่างจากพราหมณ์หลวงจึงเกิดขึ้นกับสังคมชาวบ้านซึ่งรวมทั้งการใส่ครุย ในราชกิจจานุเบกษาดังกล่าว ได้ปรากฏความหมายว่า "ให้สรวมทั้งตัว หรือสรวมเฉียงบ่า อย่างใดอย่างหนึ่งตามควรแก่กิจ" แต่ด้วยชาวบ้านอย่างเรา ๆ นั้นมาแปลปรับใช้ครุยเนื่องจากเหตุจำเป็นข้างต้น การหยิบยืมชุดครุยมาสวมใส่นั้นจึงเป็นการยกฐานะผู้ประกอบพิธียกให้สูงขึ้นเพื่อศรัทธาปฏิบัติ
นอกจากชุดครุยพราหมณ์แล้ว ยังมีครุยของพระบรมวงศานุวงศ์ นายร้อย ทหารบก นายเรือ ทหารเรือ รองอัมมาตย์ฝ่ายพลเรือน เสนา ข้าราชการที่มียศเสมอนายพล ฯ ตลอดจนเจ้านาคและผู้สำเร็จการศึกษา ซึ่งลักษณะครุยทุกประเภทนั้น มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การนำไปใช้จึงควรศึกษาข้อปฏิบัติ ข้อจำกัด กฏบังคับ ตลอดจนโทษทางกฏหมาย