ผีเหงา
รูปนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ผู้เขียนเพียงหยิบยกมาให้เห็นภาพ ลักษณะของอพาร์ทเม้นต์ที่ผู้เขียนเคยเช่าเท่านั้น
ก่อนนอนคืนนี้ ผู้เขียนขอเล่าประสบการณ์ที่ผู้เขียนไม่รู้ว่าสิ่งที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ตรงนี้จะเรียกว่าอะไร จะเรียกว่าความบังเอิญ หรือสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ผี เรื่องมันเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า...
สมัยก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะประกอบอาชีพพนักงานธนาคารในปัจจุบัน ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัทฝรั่งบริษัทหนึ่งที่จังหวัดภูเก็ต ผู้เขียนก็ได้ไปเช่าอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่งอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น 7-11, สถานีตำรวจ, และโลตัส ในราคาเดือนละ 4,000 บาท ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับค่าครองชีพในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งอพาร์ทเม้นต์แห่งนี้มีแค่ 3 ชั้น คือ ชั้น 1 ชั้น 2 มีคนเช่าและอาศัยอยู่ครบทุกห้อง แต่ชั้น 3 ที่ผู้เขียนเช่าสิ มีคนเช่าอยู่แค่บางห้อง และทุกเย็นชั้น 3 จะมีแสงไฟจากอีกห้องแค่บางวัน และอีกห้องก็คือห้องของผู้เขียนเอง สรุปมีแค่2 ห้องที่นอนค้างงั้นหรอ???
เวลาผ่านไปเป็นปี ผู้เขียนเลิกงานเย็นก็จะเห็นแสงไฟจากห้องเดิมเป็นบางวันเท่านั้น เจ้าของห้องอาจจะทำงานโรงแรมกระมัง เข้างานเป็นกะ (คิดในใจ) แล้วห้องอื่นๆล่ะ ทำไมมีคนเช่าแต่ผู้เขียนไม่เคยเห็นแสงไฟเลย หรือเวลาเราไม่ตรงกันก็เป็นได้ เพราะผู้เขียนไปอยู่ตัวคนเดียวไม่รู้จักใคร เลิกงานก็กลับเข้าห้องพักจนกระทั่งเช้าวันใหม่
อ้อ!!! จะบอกว่าอพาร์ทเม้นต์ที่ผู้เขียนเช่ามันกว้างเกินไปในความรู้สึกหากอยู่คนเดียว เพราะในห้องจะแบ่งเป็นห้องโถงดูทีวี ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ และมีระเบียงด้านหลังอีกนิด ก็รู้สึกโหวงเหวงตั้งแต่เข้ามาเช่า อาจเพราะมันกว้างเกินไปน่ะ แต่ความรู้สึกก็ไม่เคยชินสักที (ผู้เขียนเป็นคนกลัวความมืดเรื่องผีๆด้วยสิ)
จนกระทั่ง!!!! ผู้เขียนสอบงานธนาคารได้ และเป็นวันที่ไม่เคยลืมเลยอีกวัน ผู้เขียนได้โทรคุยกับแม่ตอนเที่ยงของทุกวันหยุด และวันนี้เองที่ต้องขวัญหนีดีฝ่อ เพราะในตอนเที่ยงของวันนั้นผู้เขียนได้โทรเล่าแม่ว่าสอบงานธนาคารได้ และต้องเริ่มงานต้นเดือนเลย ซึ่งเหลืออีกแค่เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ เราคุยกันนานหลายชั่วโมงปกติเพราะวันหยุดหนึ่งวันผู้เขียนจะเม้าท์มอยส์กับแม่เหมือนเราอยู่ด้วยกันคุยกันนั่งใกล้กันแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ผู้เขียนเริ่มเรียนระดับปริญญาแล้ว จนตกเย็นผู้เขียนเลยลุกไปทำกับข้าวและก็ใช้ชีวิตปกติ แต่ทำไมนะความรู้สึกมันไม่ปกติกว่าทุกๆวัน ซึ่งทุกๆวันความรู้สึกก็ไม่ปกติสักครั้งในการอยู่ที่ห้อง เอาแล้วหรือว่า......
จนกระทั่งเวลานอนผู้เขียนเข้าห้องนอนความรู้สึกมันเริ่มแปลกขึ้นทุกทีทุกลมหายใจ เกิดอะไรขึ้น ผู้เขียนตัดสินใจลุกไปเปิดไฟทุกดวงที่ในห้องพักผู้เขียนมี และก็กลับเข้าห้องนอนเหมือนเดิม แสงสว่างมีทุกที่ลดความกลัวในหัวใจของผู้เขียนได้มั้ย ตอบว่าไม่ช่วยเลย ทำไมหัวใจของผู้เขียนเต้นแรงระรัว เหงื่อออก ความรู้สึกมันเหมือนสัมผัสสื่ออะไรบางอย่าง ก็เลยเอาผ้าห่มคลุมถึงคอเอาหมอนมากั้นทุกทางบนที่นอน และนอนลืมตามองหลอดไฟ ในใจเริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงคล้ายคนปั่นแปะอยู่บนฝ้าเพดาน ในใจเริ่มใจเสีย แต่ก็ยังคิดว่าหนูคงสิ่งไล่จับกัน ก็เอาน่าท่องนะโมอีกทาง แต่เสียงนั้นก็ดังต่อเนื่องเป็นเวลานานที่สำคัญคือดังอยู่จุดเดิมตลอด ถ้าเป็นหนูจริงๆมันจะวิ่งอยู่ที่เดิมหรอ ความคิดฝ่ายกลัวเริ่มมา ตอนนั้นผู้เขียนเริ่มตัวเย็นขนหัวลุกล่ะค่ะความรู้สึกมันมาเอง และแล้วผู้เขียนก็แค่เพียงคิดในใจขึ้นมาว่า ไม่ใช่เสียงดังอยู่กับที่แล้วไฟจะดับอีกนะ ความคิดนั้นยังไม่ทันสิ้นความคิดในใจ ไฟในห้องนอนก็ดับวึ้ดลงทันที กรี๊ด!!!!!!😱😱😱 ผู้เขียนกรี๊ดลั่นห้องเลยค่ะ และวิ่งออกจากห้องนอนในตอนนั้นมานั่งที่ห้องโถง นั่งทำใจเรียกสติคืนมา สักพักใหญ่ก็เดินมาลองเปิดสวิตซ์ไฟห้องนอนอีกที ตอนนี้มันติดๆดับๆ ก็เลยปลอบใจตัวเองว่าหลอดไฟคงเสีย ใจเย็นไม่มีอะไร เสียงก็หายไปแล้ว แต่ผู้เขียนไม่เข้าไปนอนในห้องนอนนะ ผู้เขียนมานั่งที่ห้องโถงใกล้ประตูทางเข้าห้องพักจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เขียนตัดสินใจเดินดูทุกห้องที่ชั้น 3 หน้าห้องของทุกห้องบนชั้น 3 ถูกล็อคด้วยกุญแจทุกห้อง ไม่มีคนอยู่หรือเขาไปทำงานยังไม่กลับมานะ หลังจากนั้นผู้เขียนรวบรวมความกล้าโทรหาแม่ เล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง แม่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะรู้สึกเป็นห่วง แต่ผู้เขียนบอกไม่เป็นไร แม่บอกให้ย้ายหอพักไปเลยคงเจอดีแล้ว เขาไม่อยากให้ไป อยากให้อยู่ที่นี่ แต่ผู้เขียนยังแกล้งใจแข็งสู้บอกไม่เป็นไร เพราะแค่อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะลาออกและย้ายจากภูเก็ตไปทำงานที่ กทม. แล้ว ทนเอาเพราะถ้าย้ายหอใหม่ต้องเสียค่าเช่าล่วงหน้าอีก 3 เดือน
สรุปก็คือทนอยู่ห้องเดิม แต่ความรู้สึกมันชัดเจนขึ้น คือรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองตลอดเวลา จนถึงวันย้ายออกเลยล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผู้เขียนเคยเจอจะด้วยความบังเอิญหรือเปล่า เพื่อนๆล่ะคะคิดยังไงกันบ้างกับเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยเจอมานี้