ทักษิณชมธนาธร! ลืมไปแล้วหรือโดนอดีตหน.อนค.แฉกลางศาลเพื่อเอาตัวรอด?
จากที่บีบีซีไทยได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านพักใจกลางกรุงลอนดอน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีความน่าสนใจกับหลายคำถามโดยจะขอนำมาบางช่วง เมื่อถามว่าคนไทยได้ “ก้าวข้าม” ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้วนั้น
ทั้งนี้อดีตนายกรัฐมนตรี คำตอบที่สวนกลับมาทันควันคือ “สาธุ ขอให้เป็นจริงเถิด” มหาเศรษฐีหกหมื่นล้านปฏิเสธว่าการที่ชื่อของเขาปรากฏเป็นเจ้าภาพงานศพตามที่เขาบอกว่าเป็นการจัดแจงของ ส.ส.ในพื้นที่ หรือการมีทั้งชื่อและภาพอยู่บนขวดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคนั้นไม่ได้เป็นเพราะเขาต้องการกลับมาอยู่ในจุดสนใจอีกครั้ง ตรงกันข้ามเขาเชื่อว่าก้าวย่างใด ๆ ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ถูกมองได้ว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
แต่เมื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าความช่วยเหลือที่เขาให้กับคนรากหญ้าที่เคยเป็นฐานเสียง ดูจะห่างไกลกับมหาเศรษฐีหมื่นล้านที่อายุการทำงานในสภาสั้นกุดอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ผลิตและมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์มูลค่าหลายแสนบาทต่อเครื่องให้โรงพยาบาลหลายแห่ง นายทักษิณกลับมองว่าเป็นการกระทำที่จะส่งผลดีต่ออนาคตทางการเมืองของผู้นำคณะก้าวหน้า
“ธนาธรก็ยังหนุ่ม อนาคตทางการเมืองก็มีมาก แม้จะถูกลงโทษไปบ้าง ก็คิดว่าได้ทำก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะตอนนี้คนไทยต้องช่วยกันทุกฝ่าย”
ถามว่าเมื่อกลาง ก.พ.ที่ผ่านมา นายนคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านการสัมภาษณ์ทางโซเชียลมีเดียช่องหนึ่งว่า นายทักษิณอยากกลับประเทศไทย ผ่านการเรียกร้องของประชาชน และความเมตตาของผู้มีบารมีในประเทศ
“เราก็รู้ ๆ อยู่มันมีเงื่อนไขอยู่” เขาบอก ทั้งสำทับว่า “คนรักประชาธิปไตย“อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นนายทักษิณยังพูดในเชิงเหน็บแนมอีกว่า “วันนี้ยังเป็นคนไทยที่เขาไม่ให้เป็นคนไทยอยู่แล้ว พาสปอร์ตไทยก็ไม่มี อยู่เมืองนอก ก็ทำในฐานะคนเคยเป็นนายกฯ มีคนเคยสนับสนุนเรามากมาย เราก็เป็นห่วงเขา (ชาวบ้าน) เท่านั้นเอง”
อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังมีคดีความรอเขากลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์อีกอย่างน้อย 6 คดี ต้องอยู่ในต่างประเทศในฐานะพลเมืองของชาติที่ตัวเองไม่ได้ถือกำเนิด แม้จะยืนกรานว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องที่บรรดา ส.ส.อีสานของพรรคเพื่อไทยยังคงทำหน้าที่สื่อกลางนำความช่วยเหลือจากเขาลงไป”แจกจ่าย”ในพื้นที่ “ก็ทำแบบเงียบ ๆ อะไรทำได้ก็ทำไป ผมเดือน ๆ หนึ่งก็ค่าใช้จ่ายสูง เลยต้องมาทำมาหากินที่ลอนดอน เดี๋ยวไม่พอกิน”
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้คือเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ตุลาการรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.หรือไม่
ทั้งนี้โดยศาลเริ่มต้นอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปาก ว่าต้องการทราบว่า การโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดา) เกิดขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.62 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่ โดยพยานทั้ง 10 ปาก เป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กับพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังการโอนหุ้น
ต่อมาช่วงหนึ่ง ทนายความของนายธนาธร ได้ซักถามเพื่อให้นายธนาธรชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยนายธนาธรกล่าวว่า กกต. มีเอกสารมาถึงตนและนางสมพร เรียกไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านในช่วงบ่าย ตนไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้ และอยากให้ศาลพิจารณาว่า ขณะที่กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของกกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของตนในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์
“ผมขอสงวนสิทธิถ้าคสช.หมดอำนาจ ผมจะดำเนินคดีกกต. ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบลายด์ทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่ต้องเข้ามาเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะผมอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้”