เคล็ดลับขจัดปัญหาสุขภาพ
เคล็ดลับขจัดปัญหาสุขภาพ
อบอุ่นร่างกาย เชื่อกันว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายที่ดีที่สุด คือประมาณ 36.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิ ที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้เร็ว ระบบ ภูมิคุ้มกัน และระบบประสกทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพที่สุด แล้วตอนนี้อุณหภูมิร่างกาย ของคุณกี่องศาเซลเชียส ถ้า 35 องศาเชลเชียส ละก็อันตรายแล้วนะ คุณกำลังประสบปัญหาสุขภาพ อะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
สนับสนุนบทความโดย 918kiss
แม้จะยังไม่มีคำนิยามที่แน่ชัดว่าความเย็น ของร่างกายคืออะไร แต่ในหนังสือเล่มนี้หมายถึง กระบวนการของร่างกายถูกขัดขวางหรือขาดสมดุล ในการทำงาน อย่างเช่นการไหลเวียนโลหิตใน ส่วนปลายของร่างกายอย่างบริเวณมือและเท้า โลหิตก็จะไหลไปเฉพาะในหลอดเลือดที่โลหิตผ่านไปได้ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดเส้นอื่นแย่ลง จึงต้องทำให้โลหิต ไหลเวียนครบทุกส่วน และสิ่งสำคัญคือต้องทำให้อุณหภูมิในร่างกายอุ่นพอที่จะ ทำให้โลหิตสูบฉีดไปยังทุกส่วนของร่างกายได้ เนื่องจากร่างกายของผู้หญิงมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย ส่งผลให้ ร่างกายของผู้หญิงส่วนใหญ่มีอุณหภูมิต่ำ แม้ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้ เพราะอุณหภูมิในร่างกายต่ำนั้นหมายถึงมีจุดที่โลหิต ไหลเวียนไม่ดีและแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังเสียสมดุล ในวงการแพทย์แผนจีน กล่าวว่าความเย็นคือจุดกำเนิดของโรคนานาชนิด ฉะนั้น อาจสันนิษฐานได้ว่า สาเหตุที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพก็เพราะอุณหภูมิของร่างกายต่ำ ปัญหาสุขภาพกวนใจต่างๆ นานาอย่างกลุ่มอาการปวดประจำเดือน PMS (premenstrual syndrome หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน) ปวดหัว ปัญหาผิวหนัง หงุดหงิด ศร้าซึม ในหลายกรณีปัญหาเหล่านี้จะบรรเทาลงได้ หากทำให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อมนุษย์เสียชีวิต อณหภูมิในร่งกายก็จะลดลง เพราะฉะนั้น การทำให้ ร่างกายอบอุ่นเท่ากับการมีชีวิตอยู่และสัมพันธ์กับสุขภาพที่ดี หนังสือเล่มนี้แนะนำวิธีต่งๆที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ ได้แก่ วิธีอบอุ่นร่างกายจากภายใน เช่น กินอาหารที่มีส่วนช่วยให้ร่างกาย อบอุ่น นวดบริเวณองเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และวิธีอบอุ่นร่างกาย จากภายนอก เช่น การแช่น้ำอุ่นครึ่งตัว การใช้กระเป้าน้ำร้อน โดยรวบรวม เคล็ดลับต่างๆไว้ในบทที่ 2 เลือกข้อที่คิดว่าตัวเองทำได้แล้วนำมาประยุกต์ใช้ กับชีวิตประจำวันกันเถอะ
กินอาหารให้สมดุล มื้ออาหารในอุดมคติประกอบด้วยอาหาร จำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว ไขมัน เซ่น น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ คาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปัง ข้าว เส้น เป็นต้น ใน 1 มื้อจะต้องมีสารอาหาร 3 อย่างดังกล่าวครบถ้วนและมีปริมาณสมดุล ทว่าการกินอาหารของคนยุคปัจจุบันเน้น หนักที่คาร์โบไฮเดรตมาก บางคนคิดว่าสุขภาพ ตัวเองไม่เป็นไรเพราะไม่ได้กินของหวาน นั่นเป็น ความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะในข้าวขาวหรืออาหาร จำพวกเส้นที่แทบไม่รู้สึกถึงรสหวานเลยนั้นอุดม ด้วยคาร์โบไฮเดรต ในร้านอาหารญี่ปุ่นก็มีเมนูหลาย อย่างที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นหลักอย่าง อุดง โชะบะ ราเม็งเป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมการกิน ของพวกเราจึงเน้นแป้งอย่างไม่รู้ตัว อยากให้ทุกคน ตระหนักถึงเรื่องนี้
การรับคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้เช่นกันแม้จะ เป็นคนที่มีค่าน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมก็ตาม โดยร่างกายจะแสดงอาการ อย่างเช่น เหนื่อยงย ไม่มีแรง ไม่มีสมาธิ หรือหงุดหงิดง่าย เหตุผลก็คือการ รับน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไป ส่งผลให้อินซูลินถูกผลิตออกมาเกิน ความจำเป็น ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือร่างกายเกิดภาวะพร่อง กลุ่มวิตามินบีเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่สมดุล เมื่อมีความเห็นว่า "ลดการบริโภคข้าวกันเถอะ" ก็จะมีความเห็นแย้งว่า "แต่อาหารหลักของชาวเอเชียอย่างเราคือข้าวนะ" แต่เมื่อลองย้อนกลับไปดู ประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆเช่นญี่ปุนจะพบว่าคนญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มกินข้าวเป็น อาหารหลักเมื่อไม่นานมานี้เอง นอกจากนี้ ในอดีตน้ำตาลคือสินค้าฟุมเฟือย อย่างหนึ่ง แต่เมื่อถึงยุคหลังสงครามที่น้ำตาลมีราคาถูกลง ผู้ป้วยโรคเบาหวาน ก็เพิ่มขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย อีกทั้ง น้ำตาลยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้และทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจมีความสุข เมื่อได้ลิ้มรส เพราะฉะนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่การตัดคาร์โบไฮเดรตออกไป อย่างสิ้นเชิง แต่ให้เราระวัง ไม่กินคาร์โบไฮเดรตมากจนเกินไปและบริโภคสาร อาหารอื่นด้วย นอกจากโปรตีนแล้ว วิตามินและเกลือแร่ก็สำคัญและควรมีอยู่ ในอาหารแต่ละมื้อ หากได้รับสารอาหารจากมื้ออาหารในแต่ละวันไม่เพียงพอ การกินวิตามินเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในบทที่ 3 แนะนำเคล็ดลับกินอาหารให้สมดุลและครบถ้วนไว้อย่าง ละเอียด ที่สำคัญคือลดแป้ง กินอาหารหลากหลายหรือกินวิตามินเสริม และลอง ปรับเปลี่ยนวิถีการกินให้เข้ากับตัวเอง