เรื่องเล่า 'เงินกับความรัก'
⚘Money and Love เงินกับความรัก
เรื่องนี้เขียนขึ้นจากข้อความของกระทู้ในพันทิป ที่ถามความเห็นว่า คิดยังไงที่ผู้หญิงจ่ายเงินให้ผู้ชายในการกินข้าวซื้อของด้วยกัน เป็นประเด็นที่น่าคิดนะ!
สำหรับคู่ของเรา ถ้าออกนอกบ้าน กระเป๋าเงินคือ 'เรา' สามีนั้นลืมกระเป๋าเงินได้สบาย ๆ และลืมบ่อยด้วยสิ (แกล้งลืมรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วชอบเนียนมาขอยืม) เราใช้วิธีบริหารเงินแบบนี้ เงินรายได้ที่เข้ามาทุกอย่างเอาเข้ากองกลางหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากทางไหน และเงินกองกลางจะใช้สำหรับจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง
ส่วนเรา 2 คน มีเงินเดือนคนละ 5,000 สำหรับใช้ส่วนตัว ที่ไม่ต้องแจงบัญชี เช่น ช็อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวจุกจิก หนังสือ
นอกนั้นทุกอย่างกองกลางจ่าย แต่ลงบัญชีตลอดทุกรายการ ลงแบบหลัก ๆ เช่น ค่าอาหารจะเบิกทีละพัน แต่ละมื้อใช้เท่าไหร่ไม่ต้องลง จะลงเป็น Food 1,000 แต่ถ้าไปกินมื้อพิเศษก็เป็น Food Special ลงรายการตามมื้อนั้น ๆ ไป
ยุ่งยากไหม ... ต้องมานั่งลงบัญชี ไม่ยุ่งยากเลยง่ายมากยกเว้นลืม จนต้องมาไล่ว่าเงินหายไปไหน เราใช้ APP เป็นตัวช่วย สะดวกมาก ชื่อ APP Andro Money ใช้มาหลายปีแล้ว ตั้งหมวดหมู่เองได้ ตั้ง Account หมวดหมู่เงินได้ อย่างของเราจะมี บัญชีบริษัท, บัญชีส่วนตัวแยกตามธนาคารที่มี, cash (อันนี้คือเงินสดสำรองในกระเป๋า) บัตรเครดิตแต่ละใบ รู้หมดเงินแต่ละบัญชีเหลือเท่าไหร่ โอนจากไหนไปไหนก็รู้
เมื่อปี 2540 เศรษฐกิจประเทศเราซบเซามากจากภาวะต้มยำกุ้ง ยิ่งงานสายโฆษณายิ่งแย่กว่างานอื่น ๆ เราสองคนอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกัน เลยได้เจอและรู้จักกัน คนนึงอยู่ชั้น 2 ริมหน้าต่าง อีกคนอยู่ชั้น 4
เขาบอกว่าแอบมองเรา ดูจากบุคลิกแล้วรู้เลยว่าต้องทำงานสายเดียวกัน และต้องเป็น A.E. แน่ ๆ เขาว่าดูจากสไตล์การแต่งตัว เลยชอบมาเหล่ ๆ ยิ้มให้ จริง ๆ ไม่มีอะไรมาก อยากให้ช่วยหางานให้ เพราะเค้าเป็นช่างภาพอิสระ
เอาเป็นว่าสรุปเราสองคนปิ๊ง เป็นแฟนและเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ข้ามขั้นตอนเลยเพื่อความรวดเร็ว
ช่วงแรกเราสองคนเปิดบริษัทฯ โฆษณากัน เพราะต้องการรับงานกับการกีฬาแห่งประเทศไทย ด้วยเงินที่ขอแม่เค้ามา 7,000 บาทเพื่อใช้เปิดบริษัทฯ หลังจากนั้นเราก็ใช้บริษัทฯ ทำงานกันมาเรื่อย ๆ เงินสะพัดพอควร ช่วงแรก สามีเป็นคนถือเงิน เซ็นเช็ค มีเงินใช้ไหม ... มี แต่ถามว่าเงินเหลือเท่าไหร่ จ่ายเงินตามแพลนที่เรา List ให้ได้ไหม ตอบไม่ได้ งั้นเปลี่ยนใหม่ เราถือเงินเองแล้วกัน แล้วแยกการใช้เงินให้เป็นสัดส่วน สิ้นเดือนแจงบัญชีให้ดู ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ ยกเว้นสามีไม่ค่อยดูบัญชี แต่เราก็พยายามบอกให้รู้ตลอดว่าสถานะการเงินเป็นยังไง มีอะไรควรจ่ายก่อนจ่ายหลัง และถ้ามีอะไรที่ผิดไปจากปกติเช่นค่าโทรศัพท์แพงขึ้นนะ ก็จะบอกให้เขารู้ จะได้เพลา ๆ ลงบ้าง
การเริ่มต้นชีวิตคู่จากต่างคนต่างไม่มี ทำให้ไม่มีความกดดัน มีแต่พยายามประคับประคองกันไป ตอนนั้นจนมากกกก ถ้าถามว่าจนขนาดไหน ก็ขนาดเคยผัดข้าวบูดใส่ไข่แบ่งกันกิน ไปหาลูกค้านั่งรถเมล์ เราเคยถามเค้าตอนรถติด แล้วมองคนขับรถส่วนตัวที่จอดข้าง ๆ แบบฝัน ๆ ว่า "เราจะมีรถขับกันไหม" (เขาเคยสารภาพว่าตอนได้ยินตอนนั้น ฮึดมาก จะต้องทำให้เราสบายให้ได้) ที่ถามแบบนั้นเพราะสมัยก่อนจะมีรถยากกว่าทุกวันนี้มาก ต้องใช้เงินเยอะพอสมควร เราเคยแม้กระทั่งเอาเหรียญสลึงไปแลกเซเว่น เพื่อซื้อของมากิน เคยมองว่าจะมีโอกาสจับเงินแสนไหม พอได้เงินแสน ก็ฝันต่อว่าจะมีโอกาสได้จับเงินล้านไหม ฝันไม่รู้จบจริงๆ
สำหรับคู่ของเรา เงินไม่เคยเป็นปัญหาในการดำรงชีวิต แม้ว่าเราสองคนจะมีมรสุมชีวิต ตามสภาวะของเศรษฐกิจแค่ไหน ในเมื่องานโฆษณาไปไม่รอดด้วยระบบดิจิตอลเข้ามาแทนที่ เราสองคนก็จับมือกันไปทำงานอื่น มีช่องทางตรงไหน ปรึกษา และพยายามฝ่าฟันไปด้วยกัน ขอเพียงไม่ต้องสู้แบบโดดเดี่ยว หันไปยังเจออีกคนเสมอ ขอแค่นี้จริง ๆ สำหรับเราสองคน
คงเป็นเพราะเราสองคนเป็นคนชอบทำงาน และไม่เคยมองว่าเงินคือทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย เมื่อเจอปัญหาด้านการเงิน เราไม่เคยทะเลาะกันเลย จะช่วยกันคิดแก้ปัญหาด้วยกันมากกว่าว่าจะทำยังไงดี
เราเคยคุยกันเสมอว่า ... เราเริ่มต้นชีวิตจาก 0 ถ้าจะกลับไป 0 อีกก็ไม่กลัว ... ขอแค่จูงมือเดินไปข้างหน้าด้วยกันก็พอ เขียนเองซึ้งเองนะเนี่ย!
อักษราลัย
13 เมษายน 2563
fb.me/gooddaywithcandy