นี่คือ...นิสัยเศรษฐีที่เราควรลอกเลียนแบบ

เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ก่อนที่จะมีเงิน1ล้านบาทในชีวิต บรรดาเศรษฐีโลกเขามีเคล็ดลับอะไรถึงได้เงินก้อนนั้นมา

ปัจจัยหลักก็คือ...วิธีคิด  เพราะความสำเร็จและความร่ำรวยของบรรดาเศรษฐีตัวจริงเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องการบริหารธุรกิจอย่างไรให้ได้กำไรสูงสุด หากแต่เป็นการบริหารจัดการกับความมั่งคั่งที่มีอยู่อย่างไรให้คงอยู่ตลอดไปต่างหาก

เอาล่ะ ถ้าใครอยากมีเงินเก็บ1ล้านบาท ก็ให้เริ่มจากคิดอยากจะมีก่อนนะ แล้วจิตใต้สำนึกของเรามันจะมองหาหนทางที่จะพาเราไปสู่เงินก้อนนั้น เงินเดือนน้อย คงไม่พอเก็บแน่ๆ งั้นต้องหารายได้เสริม แล้วจะทำงานเสริมอะไรดี ก็ต้องเริ่มจากหาความรู้ก่อน  พอคิดแล้ว หาความรู้ได้แล้ว เมื่อมีความคิด+ความรู้แล้วมันก็ยังไม่พอนะ อันดับต่อไปคือต้องลงมือทำ เพราะถ้าคิดแล้วไม่ทำ มันก็ไม่เกิดผลอะไร เพราะ สิ่งที่ทำให้หลายๆคนล้มเหลวก็คือ  รู้แต่ไม่ทำ  

 เพราะปัจจัยที่จะทำให้เราร่ำรวยก็คือ: ความคิด+ความรู้+ความพยายาม และการคิดแบบเศรษฐีเงินล้าน ก็คือการคิดภายใต้จิตสำนึก กังวลเรื่องกำไร และใส่ใจต่อค่าใช้จ่าย ไม่ต้องคิดเรื่องการทำธุรกิจให้มากจนเกินไปนัก มันง่ายกว่านั้น ก็แค่แค่ตื่นแต่เช้า ตั้งใจทำงานทุกวัน และทำธุรกิจเพื่อหาเงิน ดั่งคำกล่าวที่ว่า ตื่นเช้าได้กำไร ตื่นสายขาดทุน

  หลายคนมักจะกล่าวกันว่า คนจะรวยต้องมีโชคช่วย 

แต่...มหาเศรษฐีเหล่านั้นเขากลับคิดว่า โชคเป็นสิ่งที่เราสร้างเองไม่ได้ แต่การตื่นเช้าตั้งใจทำงาน และตั้งใจทำธุรกิจ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เอง และทำได้ทันที นี่คือการเปลี่ยนจากโชคให้เป็นช้อยส์ Choice หรือ ทางเลือกนั่นเอง  พอจะเห็นแนวคิดของเขากันบ้างหรือยังครับ

ประหยัด 

     ฝึกนิสัยให้ประหยัด การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างว่ายากแล้ว แต่การปฎิบัติให้เกิดเป็นนิสัยนั้นยากกว่าหลายเท่า

เพราะเราต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างต่อเนื่อง คำว่าประหยัดของเหล่าบรรดาเศรษฐีนั้น ไม่ใช่การขี้เหนียว ขี้งกหรอกนะ อย่าเข้าใจผิดกันล่ะ หากแต่เป็นทัศนคติมองการให้ขาดระหว่างความจำเป็นและความฟุ่มเฟือยต่างหาก

     ผมไมเถียงหรอกนะว่าการการการจับจ่ายซื้อของนั้นมือความสุขอีกอย่างหนึ่งของชีวิต แต่แยกแยะให้ออกหน่อยว่าจำเป็นกับรำคาญมันต่างกัน อย่างนาฬิกาเนี้ย ถ้าจำเป็นจริงๆก็ซื้อไปเถอะครับ ตลาดนัด199ก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเรือนละ12ล้านหรอก เพราะยังไงมันก็เดินเร็วเท่ากัน มีเรือน12ล้านอันไหนบ้างที่เดินเร็วเป็นจรวด ฟิ้ววว อะไรแบบนั้น ใครมันจะไปดูทันถูกมั้ยครับ แต่ถ้าท่านรวยจริงก็ซื้อไปเถอะไม่ว่ากัน แต่ถ้ายังไม่รวยพอ แค่199ก็ใช้ได้นะ  เศรษฐีร่ำรวยติดอันดับท้อปของโลกบางคน ยังนั่งแท็กซี่ไปทำงานอยู่เลย เขากล่าวว่า เขานั่งแท็คซี่แทนการซื้อรถหรูคันละล้าน แต่เขาสามารถทำกำไรในเงินก้อนนั้น 39% ต่อปี 

จัดการทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ นี่คือพื้นฐานสำคัญอย่างมาก เริ่มจากการจดรายรับ-รายจ่าย

    เพราะจะเป็นการเพิ่มนิสัยให้เราคิดก่อนที่จะซื้ออะไรอีกด้วย เศรษฐีหลายๆคนได้รับการอบรมเรื่องแบบนี้ตั้งแต่วัยเด็ก

ทำให้เขารู้จักการลงทุนและกำไรที่จะได้ว่าคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน การใส่ใจเงินทุนที่เข้า-ออกทุกเม็ดมันคือกุญแจที่สำคัญ

เพราะถ้าเราจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย ความปรารถนาที่จะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายของคุณจะหมดไปทันที

เพราะจะทำให้เราเห็นนิสัยการเงินเราได้ชัดเจน หากสิ้นเดือนแล้วเงินเดินบัญชีลดลง เราจะย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การใช้เงินที่เราจดอย่างละเอียดก็จะพบว่าเราทำพลาดตรงไหน

การออม สมการง่ายๆก็คือ  รายรับ-เงินออม=รายจ่าย อธิบายง่ายๆก็คือ เมื่อมีรายรับแล้ว ให้แบ่งไปเก็บออมก่อน แล้วที่เหลือจากการเก็บ เราถึงเอามาใช้จ่าย มหาเศรษฐีทุกคนเริ่มเก็บเงินตั้งแต่หาเงินได้ เราจึงจะเห็นได้ว่า มหาเศรษฐีรอบโลกทั้งหลาย ยังคงรักษาอันดับทางการเงินไว้ได้หลายชั่วอายุคนก็ด้วยหลักการนี้ ว่ากันว่า หากเราจะเรียกใครว่าเป็นเศรษฐี

ให้ดูที่ยอดเงินคงเหลือในบัญชี ไม่ใช่ดูที่พฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรือถ่ายโชว์ก้อนเงินตามที่เห็นในสื่อโซเชี่ยลเพราะนั่นมันคือโฆษณาชวนเชื่อ ทำเพื่อหวังหลอกลวงเงินอันน้อยนิดของเรา100-200บาทไปเพื่อประทังชีวิตพวกเขาต่างหาก

  อย่าลืมว่า ต่อให้คุณมีรายได้ต่อปีมากมายมหาศาล แต่คุณยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สักวันหนึ่งเงินก็หมดลงแน่นอน

อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา

คำสอนเหล่านี้ที่เราท่องจำตั้งแต่วัยเด็ก ยังคงใช้การได้อยู่เสมอ