ที่ห้องพิจารณาคดี 7 ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 พ.ค.2562 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตเงินทอนวัด ที่พนักงานอัยการ สำนักงานปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับ นายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสามพระยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน, ร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ 2542
กรณีเมื่อปลายปี 2556 -2557 จำเลยร่วมกันทุจริต เงินทอนวัด ในส่วนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยจำเลยทั้งสองอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว โดยมีญาติสนิทและโยมที่ยังเคารพบูชามาร่วมฟังคำพิพากษา รวมถึงพระลูกวัดสามพระยาที่มาร่วมฟังพิจารณาการพิพากษาครั้งนี้นับ 10 รูป
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าสำนักพระพุทธศาสนาอนุมัติเงินเบิกจ่ายให้แก่วัด 9 วัด จำนวน 72 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญโดยวัดสามพระยาได้รับเงินจำนวน 5 ล้านบาท ในการสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นลำดับที่ 6 ทั้งที่วัดสามพระยาไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยจำเลยทั้งสองนำเงินดังกล่าวไปใช้ก่อสร้างอาคารร่มธรรมและบูรณะอาคารพักสงฆ์ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ในการมอบเงินของสำนักพระพุทธศาสนา ซึ่งจำเลยควรนำเงินดังกล่าวคืนสำนักพระพุทธศาสนา แต่กลับนำเงินไปก่อสร้างอาคาร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นในปี 2556 สำนักพระพุทธศาสนาเคยมอบเงินเพื่อเป็นการบูรณะอาคารร่มธรรมและอาคารพักสงฆ์แก่วัดสามพระยา แต่จำเลยทั้งสองกับนำเงินไปฝากเพื่อรับดอกเบี้ยจากธนาคาร แล้วนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมไปเป็นเงินในการบูรณะก่อสร้างอาคารแทน โดยถอนออกจากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยตลาดบางกรวย 2 ครั้ง
จำเลยทั้งสองมีพฤติกรรม โอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน และการกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิด หรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการ อันเป็นการฟอกเงิน พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินพุทธศักราช 2542 มาตรา 5 (1 )(2) และมาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานฟอกเงินต้องรับโทษเป็น 2 เท่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ ลงโทษความผิดฐานฟอกเงินจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 2 กระทง ลงโทษกระทงละ 3 ปี รวมจำคุกเป็นเวลา 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 รวม 2 กระทง กระทงละ 1 ปี 6 เดือนรวมจำคุก 3 ปี