HOW TO: ภาวะสิ้นหวังจากการเรียนรู้ สภาวะอันตรายที่ทำให้เราหมดใจและหมดไฟ
.
มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้กันบ้างมั้ยครับ ?
.
เวลาที่ควาญช้างต้องการให้ช้างเชื่อฟัง สิ่งที่เขาทำคือ อบรบและทำให้มันเชื่อตั้งแต่ยังมันยังเด็ก โดยการผูกเชือกอันใหญ่ล่ามไว้กับไม้ แม้ว่าเจ้าช้างตัวเล็กจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ไกลกว่าเชือกที่ล่ามมันไว้ วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป จนในที่สุดความดิ้นรนที่จะพยายามก็ได้กลายเป็นภาวะจำยอมไป เพราะอย่างไรแล้วก็คงไม่มีวันที่จะหลุดพ้นไปจากเชือกที่ล่ามขาเอาไว้ได้ แม้ตอนนี้จะตัวใหญ่กว่าตอนนั้น 10 เท่า 20 เท่า และเชือกที่ผูกเอาไว้จะเล็กกว่า บางกว่า ขาดง่ายกว่า ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป เพราะช้างตัวนั้นได้เชื่อฝังใจไปแล้วว่า มันไม่สามารถที่จะหลุดไปได้อีกต่อไป
.
สภาวะที่ช้างเจอได้มีแนวคิดที่ใช้อธิบายสภาวะนี้ว่า Learned Helplessness หรือภาวะสิ้นหวังจากการเรียนรู้ โดย ดร. มาติน ซาลิกแมน ได้กล่าวถึงในช่วงปี 1960 ซึ่งในมนุษย์เองก็สามารถเกิดขึ้นได้ไม่แตกต่างกัน โดยอาการของคนที่มีภาวะสิ้นหวังจากการเรียนรู้มักจะมีอาการเฉื่อยชาลงไปเรื่อย ๆ ไม่ดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไป ไม่พยายามในการจะไปถึง แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาคนนั้นอาจจะสามารถเอาชนะปัญหาก็ตาม เหมือนกันกับช้างตัวใหญ่ที่สามารถเดินออกจากวงเชือกได้แต่ไม่ทำทั้ง ๆ ที่มีศักยภาพอยู่ในตัวมากมาย
.
ดร. มาติน ซาลิกแมน ได้สรุปไว้ว่าภาวะสิ้นหวังจากการเรียนรู้นั้นมักเกิดจากการที่มนุษย์เรียนรู้ถึงความสิ้นหวังต่อเหตุการณ์ที่ไม่อาจเอาชนะหรือควบคุมได้ จนส่งผลให้กลายเป็นประสบการณ์ฝังใจ ส่งผลกระทบต่อ 3 ด้านหลัก คือ ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง, แรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ลดลง และส่งผลต่อเรื่องอารมณ์ที่อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วยเช่นกัน
.
และทุกคนบนโลกใบนี้สามารถที่จะเป็นภาวะสิ้นหวังต่อการเรียนรู้ได้ทั้งนั้น บางคนอาจเป็นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือบางคนสิ้นหวังกับแทบทุกเรื่องบนโลกใบนี้ นอกจากจำนวนของเรื่องแล้ว ยังมีเรื่องระดับของความสิ้นหวังที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถหายไปได้หากเราเรียนรู้ที่จะจัดการเรื่องความเชื่อ และ ความคิด
.
โดยเริ่มแรกนั้นคือเรื่องความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งสามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการเริ่มต้นจับปากกาและกระดาษ และพยายามที่จะเขียนข้อดีของตัวเองมาอย่างน้อย 5 ข้อ หากใครไม่สามารถที่จะเขียนข้อดีของตัวเองได้จริง ๆ อาจจะลองถามคนสนิทที่เขารักและจริงใจที่จะตอบถึงข้อดีของเราดู จากนั้นลองเขียนถึงความฝัน สิ่งที่อยากได้ หรือสิ่งที่เป็นคุณค่าต่อชีวิตของตัวเองดู
.
อย่างที่สองคือ ความคิด เราไม่ได้จะบอกให้ทุกคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่อยากให้มองในแง่ร้ายด้วยเช่นกัน แต่อยากให้มองตามความเป็นจริงมากกว่า เช่น หากสอบเลขได้เกรดไม่ได้ หรือ ทำงานที่เจ้านายสั่งไม่ได้เป็นดั่งหวัง ให้กลับมาลองคิดทบทวนดูก่อนว่า สาเหตุที่ทำไม่ได้เกิดจากอะไร หากเกิดจากความสามารถเราก็พัฒนาจุดที่เราด้อย การได้ทำการวิเคราะห์ตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้เรามองความเป็นจริงได้ดีขึ้น
.
หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่อง Mindset มาบ้างแล้ว แต่เราอยากจะบอกว่า Mindset เองก็มีส่วนที่สามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากภาวะนี้ด้วยเช่นกัน คือเรื่อง Growth Mindset และแน่นอนว่าการเปลี่ยนเรื่องทั้งหมดที่ว่ามาอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และใช้ระยะเวลานาน แต่เชื่อเถอะว่า คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน