หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เบื้องหลังนาซี แปลงเด็กโปแลนด์เป็นเยอรมัน

โพสท์โดย warrior B

คนที่เป็นพ่อแม่คนย่อมรู้ซึ้งถึงคำว่า  “ลูกใครใครก็รัก” หรือ “ลูกคือแก้วตาดวงใจ” แล้ววันหนึ่งถ้ามีคนมาพรากลูกเราไปเราจะทำยังไง ถ้าเป็นปัจจุบันนี้บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราคงทำทุกอย่างที่จะทำได้  คงแจ้งความตำรวจ  ออกติดตามเอง  แจ้งญาติพี่น้อง ส่งอีเมล์ ร้องหนังสือพิมพ์ รวมทั้งออกโทรทัศน์เพื่อช่วยตามลูกกลับมาอย่างถึงที่สุด แล้วถ้าคนที่พรากลูกเราไปเป็นรัฐซะเอง เป็นฝ่ายปกครองซะเองเราจะทำยังไง ลูกเราจะต้องไปอยู่ที่ใหนอย่างไรกินอยู่อย่างไร จิตใจเราจะปวดร้าวเพียงใด ลองจินตนาการดูนะครับ ว่าแต่มีด้วยหรือที่ฝ่ายรัฐหรือผู้ปกครองมาพรากลูกคนอื่นไปอย่างโจ่งแจ้งเป็นขบวนการใช้เจ้าหน้าที่ทางการโดยตรง มีจริงหรือ

มีครับมี เรื่องนี้ขอย้อนไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากพรรคนาซีเยอรมันชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ย้ำนะครับว่า....พรรคนาซีชนะเลือกตั้งถล่มทลายไม่ได้มาจากพวกเผด็จการปฏิวัติหรือมาจากรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารแน่นอน   ส่วนจะชนะโดยลูกเล่นหลอกลวงสร้างฝันให้คนเยอรมันหลงใหลอย่างไรเหมือนพรรคการเมืองบางพรรคของเราหรือไม่จะไม่ขอกล่าว    

ประชาชนเยอรมันเต็มใจเลือกฮิตเลอร์เป็นผู้นำก็แล้วกัน เมื่อเป็นผู้นำสมบูรณ์แล้วก็เริ่มเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง กรีฑาทัพเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ แล้วผนึกเข้าเป็นเขตยึดครองเยอรมัน เริ่มจากประเทศโปแลนด์ถูกผนวกเป็นเขตยึดครองตะวันออก ประชาชนเยอรมันต่างยิ้มย่องผ่องใสกับความเจริญรุ่งเรืองและภาคภูมิใจในความเป็นเยอรมัน รัฐบาลถึงกับประกาศให้ความเป็นเยอรมันเป็นเลิศที่สุดในโลกเหมือนเมืองไทยที่จะเป็นศูนย์กลางทุกอย่างในโลก         

ฮิตเลอร์กำหนดนโยบายเกี่ยวกับเชื้อชาติหรือสายเลือดเยอรมันโดยตรงเรียกว่าอารยัน ไม่ยอมให้มีเลือดอื่นเจือปนโดยเฉพาะเลือดพวกชั้นต่ำเช่นยิว ยิบซี สลาฟ(คนส่วนใหญ่ของรัสเซีย) และชนผิวสีอื่น ๆ  รัฐบาลถึงกับออกเป็นกฎหมายแบ่งแยกประชาชนเป็นสายเลือดเยอรมันแท้กับเลือดผสม โดยเฉพาะเลือดยิวโดนจัดหนักตั้งแต่ต้นแล้วกลายเป็นจัดเต็มในที่สุด

เริ่มจากตอนแรกก็เล่นพวกยิวเลือดแท้ต่อมาก็เลือดผสมมากลงไปจนถึงลูกครึ่ง ต่อมาก็ลูกเสี้ยว ต่อมาก็ลูกอะไรดีหละ..ที่มีเลือดยิวนิดหน่อยก็โดนด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่พูดประชดประชนแต่เกิดขึ้นจริง คนก็มีตัวตนจริง โดนยิงตายจริง โดนรมแก๊สจริงตายจริง  ที่โดนเอาไปทำหนูทดลองยา(โดยเฉพาะคู่แฝด)ก็โดนจริงป่วยจริงทรมาณจริงแล้วก็ตายจริง เรื่องยิวกับเยอรมันเนี่ยอยากให้ลองไปหนังสือชื่อ เยอรมันกับยิว (The German and the Jew) อ่านกันดู

ตอนแรกก็คิดแค่ขจัดคนที่นาซีเห็นว่าต่ำต้อยให้หมดไป แต่ต่อมานึกได้ว่าพวกตนที่เลอเลิศเหนือมนุษย์นั้นพอทำสงครามไปเรื่อยๆ คงจะเหลือน้อยลง  โดยเฉพาะคนหนุ่ม(ทหาร) แล้วดินแดนที่ยึดมาได้จะให้ใครไปครอง อย่ากระนั้นเลย ต้องสร้างชาวเยอรมันขึ้นมาเพิ่ม นาซีจึงคิดโครงการ  Germanization หรือ “แปลงเป็นเยอรมัน” ขึ้นมา  โครงการนี้เป็นการไปรวบรวมเด็กในเขตยึดครองที่รูปร่างหน้าตาดีเหมาะจะเป็นคนเยอรมัน แล้วเอามาเลี้ยงให้เป็นคนเยอรมัน

หน่วยงานที่รับผิดชอบคือหน่วยเอสเอส ของเฮนริช ฮิมเลอร์ แต่ก็ทับซ้อนกับงานเขตยึดครองตะวันออก ของ อัลเฟรด โรเซ็นเบริก   แม้สองหน่วยนี้จะมีความเห็นต่างกันหลายเรื่อง แต่เห็นตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่าประชากรส่วนใหญ่ของเขตยึดครองตะวันออก
(โปแลนด์และรัสเซีย)ไม่ดีพอที่จะให้เป็นชาวเยอรมันจึงควรส่งไปไซบีเรีย ให้หมด  เยอรมันมีแผนส่งไปไซบีเรียเพราะมีแผนจะยึดรัสเซียอยู่ก่อนแล้ว สัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมันกับรัสเซียนั้นมีแต่สตาลินเท่านั้นที่เชื่อว่าเยอรมันจะทำตาม

นี่แหละที่เรียกว่าโคตรโกหก (สตาลิน) เจอโคตรตอแหล(ฮิตเลอร์) ความเห็นที่ต่างกันมีเพียงว่า จะบังคับอย่างไรให้คนเหล่านี้ไปไซบีเรีย แผนของนาซีนั้นโหดเหลือเชื่อ ฮิตเลอร์วางแผนให้เอาคนโปแลนด์และรัสเซียออกจากพื้นที่ให้หมดส่วนหนึ่งเอาไปเป็นแรงงานทาส ที่ใช้เป็นทาสไม่ได้ก็กำจัดทิ้งไป วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างเยอรมันใหม่ขึ้นรองรับการขยายตัวของอาณาจักรไรซ์ฮิมเลอร์ ผู้รับผิดชอบงานนี้มอบหมายให้ ไรน์ฮาร์ด  เฮดริช ฝ่ายความมั่นคงเอสเอสวางแผนงานขึ้นในปี 1941 

ปฏิบัติการนี้ต้องปกปิดว่าเป็นการปฏิบัติอย่างอื่น คำหรือข้อความที่อาจเดาได้ว่าทำอะไรถูกห้ามใช้  หากปฏิบัติการจริงล่วงรู้ถึงประชาชนคงเกิดการต่อต้าน คงเป็นการยากที่จะเอาเด็กไปให้ครอบครัวเยอรมันรับเลี้ยงหากรู้ว่าเป็นเด็กโปแลนด์หรือรัสเซียที่ถูกลักพามา ดังนั้นจึงต้องหลอกประชาชนว่าเป็นเด็กเยอรมันกำพร้าสงครามมาจากเขตยึดครองตะวันออก

เอสเอส กับ สำนักงานเขตยึดครองตะวันออกจัดประชุมขึ้นระหว่างสองหน่วยงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1942  มีดร.บรูโน ไคลส์  เป็นประธาน  ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าประชากรในเขตยึดครองต้องได้รับการตรวจลักษณะชาติพันธุ์  เพื่อระบุตัวบุคคลที่เหมาะที่จะ “เป็นเยอรมัน”  มีการลวงว่าเป็นการตรวจสุขภาพ เดือนตุลาคม 1942  ฮิมเลอร์ สั่งให้ “ตรวจร่างกาย” เด็กนักเรียนในโปแลนด์ทั้งหมด สอบประวัติการการรักษาโรค ตรวจฟัน ตรวจตา วัดส่วนสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายที่แปลกมากเพราะเน้นสีตาและสีผม สีตาแบ่งเป็นสามสีส่วนสีผมมีสองสี  ฮิมเลอร์ ให้ถ่ายภาพหน้าตรงของเด็กไว้ด้วยเพื่อจะได้คัดออกเด็กที่มีลักษณะเด่นของชาวสลาฟ  เช่น โหนกแก้มสูง  (ถ้าบ้านเราก็คงประมาณโหนกสูง  ดั้งหัก  และกรามใหญ่)

โครงการนี้เริ่มครั้งแรก ในโปแลนด์หลังจากเยอรมันเปิดฉากสงครามโลกในเดือนกันยายน 1939 และทำลายกองทัพโปแลนด์ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ การยึดครองโปแลนด์ถือเป็นปฏิบัติการโหดสุดอันหนึ่งในยุโรป มีการสังหารชาวโปแลนด์ทั้งยิวและไม่ใช่ยิวเป็นจำนวนมาก โปแลนด์ไม่มีที่พึ่งนาซีขจัดชนชั้นปัญญาชนสิ้นแล้วเอาประชาชนที่เหลือมาทำแรงงานทาสจำนวนมาก ประมาณว่าหนึ่งในสี่ของชาวโปแลนด์ต้องตายในระหว่างถูกยึดครอง ประมาณว่ามีเด็กชาวโปแลนด์ถึง 2 แสนคนถูกลักพาบังคับส่งไปเป็นเยอรมัน     เด็กจำนวนมากที่ไม่ผ่านการตรวจลักษณะชาติพันธุ์ในที่สุดต้องไปเสียชีวิตในค่ายมรณะ  

โปแลนด์มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเองและคนส่วนใหญ่เป็นเผ่าสลาฟ ภาษาโปแลนด์(โปลิช) คือภาษาสลาฟนั่นเอง คนโปแลนด์จึงคล้ายไปทางรัสเซียมากกว่าเยอรมัน นาซีเหยียดหยามคนโปแลนด์มากพอ ๆ กับเกลียดชาวยิว   นาซีถือว่าชาวโปแลนด์เหมาะเฉพาะกับงานแรงงานหรือรับใช้เยอรมันเท่านั้น เยอรมันจึงมีนโยบายให้โรงเรียนในโปแลนด์สอนเด็กโปแลนด์เพียงแค่เขียนชื่อตนเองได้และนับเลขถึงห้าร้อยก็พอที่เหลือก็สอนให้เชื่อฟังคำสั่งเจ้านายเยอรมันโดยไม่ต้องถาม  เรื่องนี้มีบันทึกของฮิมเลอร์เป็นหลักฐาน

ปี 1942  ฮิมเลอร์ออกคำสั่งให้กวาดจับเด็กจากโปแลนด์และประเทศที่ยึดครองอื่นเพื่อส่งไปคัดเลือกเป็นเยอรมันเด็กชาวโปแลนด์เรือนแสนที่อายุไม่เกิน 14 ปี ถูกลักพาตัวทั้งจากบ้านและบนท้องถนน   อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละที่  ในหลายเมืองพ่อแม่เด็กพยายามขัดขวาง

แต่เด็กก็ยังถูกตำรวจพร้อมอาวุธคุมตัวส่งขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ เป็นภาพที่บีบคั้นอารมณ์มากเมื่อพวกคุณแม่ร้องระงมปนกรีดร้องพยายามเข้าเยื้อแย่งลูกคืนแต่ถูกตำรวจพร้อมอาวุธขวางกั้นไว้  เด็กจะถูกส่งไปที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจลักษณะชาติพันธุ์  ศีรษะ  จมูก  และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจะถูกวัดอย่างละเอียด เด็กที่ลักษณะเหมือนเยอรมันจะถูกส่งไปอบรมให้เป็นเยอรมันก่อนที่จะส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมในบ้านชาวเยอรมันเพื่อให้เติบโตเป็นเยอรมัน

นี่แหละคือการ “แปลงเป็นเยอรมัน” หลังสงครามเด็กส่วนใหญ่ ยังอยู่กับครอบครัวเยอรมันเพราะพ่อแม่จริงเสียชีวิตไปแล้ว หรือเพราะตอนโดนจับเด็กเล็กเกินไปที่จะรู้ว่าพ่อแม่จริงคือใครอยู่ที่ไหน ปัจจุบันบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นคนโปแลนด์  กาชาดเคยพยายามนำเด็กคืนสู่พ่อแม่แต่ก็ได้เพียงไม่กี่ราย

อเล็กซานเดอร์ มิเชโลสกี้ เป็นเด็กโปแลนด์ที่ประสบเรื่องนี้ด้วยตนเอง ปัจจุบันเขาเป็นพระอยู่ในเมือง นิวคาสเทิล  ประเทศอังกฤษ   ตอนเริ่มสงครามเขาอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวสองคนที่ชานเมือง โปสนัน  เมืองโบราณห่างชายแดนเยอรมันประมาณ 100 ไมล์  ครึ่งทางระหว่างกรุงวอร์ซอกับกรุงเบอร์ลิน  แม่ของเขาเป็นนักเปียโนส่วนพ่อเป็นทหาร   เป็นครอบครัวเคร่งศาสนาชอบไปโบสถ์ตั้งแต่เล็ก

ในวันอาทิตย์เขาทำหน้าที่เป็นเด็กประจำแท่นบูชา  ในช่วงเวลาเลวร้ายหลังเยอรมันเข้ายึดครองความศรัทธาในพระเจ้าเป็นสิ่งช่วยปลอบประโลมเขาอย่างใหญ่หลวง

เขาไม่มีวันลืมวันที่ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง  วันที่ 28  พฤษภาคม 1942  หกวันหลังวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบ  แม่ของเขาพาน้องสาวสองคนไปเยี่ยมเพื่อนและเขาอ่านหนังสืออยู่บ้านตามลำพัง ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะที่ถนน มีรถบรรทุกวิ่งมาจอดแล้ว เกสตาโปหกคน แต่งเครื่องแบบสีดำถือปืนกระโดดลงจากรถบุกเข้ามาในบ้านแล้วสั่งให้ “ยกมือขึ้น” เด็กน้อยกลัวตัวสั่นและปฏิบัติตาม พวกนั้นบอกว่าจะมาพาไปเที่ยวสุดสัปดาห์ ซึ่งเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้วและรู้ว่ามีเด็กหลายคนไปแล้วไม่ได้กลับ เขากลัวมากแต่ทำอะไรไม่ได้    เขารู้อยู่เต็มอกว่าจะไม่ได้พบพ่อแม่และน้องอีกแล้วซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

เกสตาโป ให้เวลาเขาไม่กี่นาทีเพื่อเก็บข้าวของ มีแปรงสีฟัน กล่องดินสอ และสมุดสวดมนต์ ก่อนจะถูกนำไปที่รถบรรทุก บนรถมีเด็กอยู่แล้วสิบกว่าคนมาจากแถวบ้านเขา ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่าเขา บางคนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว ที่ถูกพรากออกจากบ้านอย่างกะทันหันและกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา พวกเขาถูกนำไปที่บ้านสงเคราะห์เด็กห่างไปไม่กี่ไมล์ ที่นี่เด็กทั้งชายหญิงประมาณ 150 คน จากเมืองเดียวกับเขาถูกนำมารวม พวกเขาถูกตรวจร่างกายโดยหมอชาวเยอรมันสิบเอ็ดคน ชายสิบหญิงหนึ่ง หมอจะเป็นคนทำรายงานลักษณะทางกายภาพว่าเหมาะจะเป็นเยอรมันหรือไม่  

เป็นการตรวจร่างกายที่ประหลาด หมอนั่งล้อมเป็นวงกลมมีโต๊ะอยู่กลางห้อง ขั้นแรกเด็กต้องยืนบนโต๊ะหมุนตัวไปโดยรอบ เพื่อหมอจะได้มองเด็กจากทุกมุม  แล้วให้นั่งบนเก้าอี้ถอดเสื้อผ้าออกตั้งแต่เอวขึ้นไป  หมอทุกคนมีแบบฟอร์มอยู่ข้างหน้าระบุรายการที่ต้องตรวจ  หมอจะเขียนชื่อเด็กบนหัวกระดาษแล้วทำเครื่องหมายในช่องให้คะแนน เด็กรู้สึกเหมือนเป็นปศุสัตว์ถูกนำมาขายในตลาด  เมื่อตรวจเสร็จเจ้าหน้าที่อ่านรายชื่อเด็กหกสิบคน ที่ได้รับคัดเลือกเพื่อส่งไปเป็นเยอรมัน ที่เหลือให้กลับบ้าน (ตอนนั้นเยอรมันยังไม่โหดจึงให้กลับบ้านได้  ตอนหลังไม่ให้กลับแต่ส่งเข้าค่ายมรณะเลย) เขาผิดหวังที่ถูกเลือก และรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาตัวค่อนข้างเล็ก สำหรับอายุขนาดนี้

เด็กหกสิบคน ถูกนำส่งสถานีรถไฟโปสนัน ถูกคุมตัวขึ้นรถไฟมีทหารพร้อมอาวุธควบคุม  ถูกนำไปที่เมืองคาลิซ ประมาณแปดสิบไมล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโปสนัน  ที่นี่พวกเขาถูกส่งไปที่อาคารซึ่งพอเขาเห็นกำแพงสูงล้อมรอบ เขาก็จำได้ว่าเดิมเป็นคอนแวนท์ที่น้าสาวของเขามาบวช และเขาเคยมาเยี่ยมสองสามครั้ง ตอนนี้เยอรมันเปลี่ยนสถานที่เป็นสถานรับเด็ก ที่คาลิซเด็กเริ่มเรียนภาษาเยอรมันและใส่เครื่องแบบยุวชนนาซี ซึ่งเป็นองค์กรรับผิดชอบฝึกเด็กให้เป็นสมาชิกผู้ภักดีต่อพรรค สถานรับเด็กนี้ดำเนินการแบบโรงเรียนฝึกทหารจึงต้องฝึกเดินสวนสนามบ่อยมาก

สองเดือนแรก ที่คาลิซมีภาพติดตาคอยหลอนเขาเรื่องหนึ่ง มีแม่คนหนึ่งสืบทราบว่าลูกชายอายุหกขวบของเธออยู่ที่นี่ เธอมองเห็นลูกจากประตูเธอจึงบุกเข้ามาที่สนามเด็กเล่นเพื่อชิงลูกกลับ พอเธอคว้าตัวลูกได้ ทหารเยอรมันก็กระชากเด็กกลับไปแล้วเตะถีบเธอ ต่อหน้าลูกที่ดูอยู่ด้วยความหวาดกลัว เธอเลือดกลบปาก และเต็มศีรษะตอนถูกโยนข้ามกำแพงออกไปข้างนอก เขาไม่ทราบว่าเธอเสียชีวิตหรือไม่ แต่คืนนั้นเขากับเพื่อนในกลุ่มร่วมกันสาบานว่า จะไม่ยอมเป็นมิตรกับเยอรมัน และผู้ที่สมคบกับเยอรมันและจะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นต่อความโหดร้ายที่พวกเขาได้พบเห็นในบ่ายวันนั้น

วันที่ 22กรกฎาคม เด็ก 600 คนขึ้นรถไฟออกจากคาลิซไปที่เมืองมึนเด็นประเทศออสเตรีย เป็นการเดินทางที่เชื่องช้าใช้เวลาถึงสองวันสองคืนแล้วในที่สุดก็มาถึงปลายทาง พวกเขาขึ้นรถบรรทุกไปที่ “โอเบอร์ไวซ์” เป็นปราสาทสมัยกลาง ที่สวยงามบนเนินเขาทางเหนือของทะเลสาบ ทรุนซี   เป็นสถานที่ใช้เปลี่ยนเด็กโปแลนด์ให้เป็นเยอรมัน  สิ่งแรกที่พวกนั้นทำกับเขาก็คือบังคับให้เปลี่ยนชื่อ เป็นขั้นตอนแรก ที่จะทำให้เขาลืมว่าเป็นชาวโปแลนด์ ตอนนี้เขากลายเป็น อเล็กซานเดอร์  ปีเตอร์  แล้ว พวกนั้นออกเอกสารประจำตัวให้ใหม่โดยไม่ระบุว่าเขาเป็นชาวโปแลนด์

แม้ทางการจะห้ามใช้ภาษาโปแลนด์ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอดอาหาร  แต่พวกเด็กมีจิตใจต่อต้านและรู้สึกชอบใจถ้าได้ฝ่าฝืน ตอนกลางคืนเมื่อยามเอสเอสเข้าใจว่า พวกเขาหลับแล้วพวกเขาจะแอบคุยกันด้วยภาษาโปแลนด์ เป็นเวลาหลายชั่วโมงอย่างมีความสุข  พวกเขาฝ่าฝืนกฎอื่น ๆ ด้วย  เช่น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนจดหมายถึงทางบ้าน หรือรับจดหมายจากทางบ้าน  แต่พวกเขาแอบเอาจดหมายออกไปส่งโดยหย่อนในตู้ไปรษณีย์ เด็กบางคนสามารถบอกพ่อแม่ได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ครอบครัวเด็กจะตอบจดหมายได้อย่างไร  จดหมายที่ส่งมาที่ปราสาทจะถูกยึดโดยอัตโนมัติ 

แต่แล้วในฤดูใบไม้ร่วงวันหนึ่ง  เด็ก ๆ ก็มีโชค พวกเขาเดินอยู่ในสนามข้าง ๆ ปราสาทผ่านต้นแอปเปิลใกล้ฟาร์มแห่งหนึ่ง แอปเปิลกำลังสุกหวานพวกเขาจึงแอบเข้าไปขโมย เด็กคนหนึ่งเห็นผู้หญิงเจ้าของฟาร์มจึงตะโกนเตือนเพื่อน ๆ ผู้หญิงคนนั้นฉงนเมื่อได้ยินเด็กพูดภาษาโปแลนด์ซึ่งเป็นภาษาของเธอด้วย เธอจึงเข้ามาสอบถามและทราบเรื่อง เธอเห็นใจเด็กและตกลงช่วยรับจดหมายแทนพวกเขา โดยให้ส่งจดหมายมาที่ฟาร์มเธอ พวกเขาดีใจมาก นี่เป็นเรื่องอันตราย แต่ก็คุ้มค่าหากเด็กโชคดีได้รับจดหมายจากทางบ้านเป็นครั้งคราว ก็จะเป็นความหวังว่าวันหนึ่งเด็กพวกนี้อาจได้กลับบ้านไม่ว่าจะอีกนานเพียงใด

พวกเขายังพบหนทางอื่น ที่ช่วยให้ทนความลำบากได้มากขึ้น อาหารที่ปราสาทไม่เคยพอกับความหิวโหยของเด็ก ๆ พวกเขาจึงหิวอยู่ตลอดเวลา     เจ้าหน้าที่รับผิดชอบซื้ออาหารขาเป๋ข้างหนึ่ง จึงต้องให้เด็กคนหนึ่งไปช่วยขนของกลับจากในเมือง หากคนในกลุ่มเขาได้รับเลือกไปช่วยพวกเขาก็จะหาโอกาสขโมยของจากร้านค้ามาซ่อนไว้ในปราสาท นอกจากนี้พวกเขายังแอบขโมยอาหาร ในห้องใต้ดินด้วยแต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง อาหารที่ขโมยมาจะนำมาเลี้ยงฉลองกัน แล้วเช้าวันหนึ่งหลังการฉลองเขาต้องประหลาดใจที่ยามตรงมาที่เตียง และเฆี่ยนตีเขา  

ตอนนั้นเองเขาสังเกตเห็นรอยนมหกเป็นทางจากห้องใต้ดินมาที่เตียงเขา หลักฐานชัดเจน

พวกเด็ก ๆ หนาวและหิว  พอฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นฤดูหนาวพวกเขายังต้องใส่เสื้อผ้าบาง กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ในการเดินสวนสนามไปตามถนนรอบปราสาท ชาวออสเตรียที่พบเห็น จะโยนเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้เด็กแต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บ ทำให้เด็กต้องทนเจ็บปวดเพราะความหนาวและเท้าพอง(ความหนาวกัดเท้า)

เขาอยู่ที่นี่สองปี ในช่วงสองปีนี้เด็กส่วนใหญ่ในกลุ่มเขาถูกเลือกไปเป็นบุตรบุญธรรมเกือบหมดแล้ว ส่วนเด็กโตที่ไม่มีใครรับไป เมื่อถึงวันเกิดครบสิบห้าปีก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเยอรมัน ปี 1944 เด็กในกลุ่มเขาเหลืออยู่เพียงห้าคน เยอรมันตัดสินใจส่งพวกเขาไปฝึกในค่ายยุวชนฮิตเลอร์ ในเมืองมาเรีย ชมอล ตอนใต้ของประเทศเยอรมัน  เพื่อเป็นทหาร

ตอนนี้สงครามจวนจบแล้วเยอรมันกำลังพ่ายแพ้ ทุกเขตของเยอรมัน และเขตยึดครองถูกโจมตีทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศสหรัฐและอังกฤษโดยสหรัฐทิ้งระเบิดกลางวันและอังกฤษทิ้งระเบิดกลางคืน  (หาอ่านเพิ่มเติมหนังสือเรื่อง “ไฟนรกฮัมเบริก”) แน่นอนว่ารถไฟเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีเสมอ  เด็กชายทั้งห้าพร้อมผู้คุมยังอยู่ห่างจาก มาเรีย ชมอล ประมาณสามสิบไมล์ตอนที่เครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐเข้าโจมตี  ผู้โดยสารแตกตื่นลงจากรถแล้วเดินไปตามทางรถไฟโดยมีเครื่องบินตามกราดยิงด้วยปืนกล  มีกระสุนปืนยิงโดนหมวกของเขา

เขาคิดว่าคงต้องตายแน่ แต่ก็รอดมาได้เพราะมีนายทหารเยอรมันที่เดินทางมาในขบวนรถเดียวกันได้แสดงให้เห็นวิธีหลบกระสุน ด้วยการพุ่งหมอบลงกับพื้นก่อนเครื่องบิน จะบินผ่านเหนือศีรษะเพราะเครื่องบินยิงตรงลงพื้นไม่ได้ ในที่สุดทางรถไฟถูกทำลาย จากการโจมตีพวกเขาพร้อมผู้คุมจึงต้องเดินเท้าไปตามทางรถไฟ ใช้เวลาเดินทางสองวัน  พักค้างคืนในโรงเก็บหญ้าแห้ง เมื่อถึงค่ายยุวชนฮิตเลอร์ พวกเขาได้รับการฝึกเพื่อจะเข้าประจำการเป็นทหารเยอรมัน

ทหารพันธมิตรยกพลขึ้นบกเดือนมิถุนายน 1944 และเริ่มปลดปล่อยเขตยึดครองของเยอรมัน  คืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่เชื่อกันว่าทหารสหรัฐกำลังรุกคืบใกล้เข้ามา พวกเขาถูกสั่งให้เก็บข้าวของเตรียมเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาได้รับแจกขนมปังกรอบสามชิ้นพร้อมคำสั่งให้กินวันละชิ้นเพราะอาหารปันส่วนสามวันข้างหน้ามีแค่นี้  ด้วยความหิวและความรู้สึกต่อต้าน เด็กทั้งห้าจัดการกินขนมหมดทันทีในตอนนั้นเลย

โชคดีเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก่อนจะออกเดินทางก็ได้ยินเสียงรถถังสหรัฐ คืบคลานเข้ามาและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยพลร่ม ผู้คนในหมู่บ้านพากันเอาธงขาวมาผูกที่หน้าต่างและระเบียงเป็นสัญญาณยอมจำนน ในเขตนี้ของออสเตรียสงครามสิ้นสุดแล้ว

เด็กชายชาวโปแลนด์ ตื่นเต้นกับการปลดปล่อยแต่ยังรู้สึกกังวล ด้านหนึ่งดีใจที่คนที่จับเขามาเป็นนักโทษสองปีและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างโหดร้ายต้องพ่ายแพ้ แต่อีกด้านกังวลว่าผู้เข้ายึดครองรายใหม่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เพราะพวกเขาอยู่ในค่ายฝึกทหารเยอรมันจึงถูกอเมริกันจับเป็นเชลย

งานแรกจึงเป็นการอธิบายให้อเมริกันเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่เยอรมันแต่เป็นโปแลนด์ เรื่องนี้ไม่ง่ายเพราะหลังจากถูกบังคับให้พูดเยอรมันมาสองปีพวกเขาพูดภาษาโปแลนด์ไม่คล่องเหมือนเดิม แต่ในที่สุดก็ทำสำเร็จพวกเขาไม่ถูกจับ แถมยังได้งานทำเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกองกำลังสหรัฐ  เพื่อนห้าคนแยกย้ายกัน  เขาย้ายตามฐานปฏิบัติการทหารสหรัฐจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไปสิ้นสุดที่ค่ายทางตะวันตกของโปแลนด์   ที่นี่เขาได้เข้าโรงเรียนเป็นภาษาโปแลนด์เป็นครั้งแรกหลังเวลาผ่านไปเกือบสามปี เขาเข้ากับพวกอเมริกันได้ดี

แม้เขาจะไม่กังวลอนาคตของเขาแต่กังวลอนาคตของเพื่อน ๆ จากปราสาทโอเบอร์ไวซ์ที่ต้องกลายเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวเยอรมันและออสเตรีย  พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือนอกประเทศไปตลอดชีวิต เป็นไปได้ไหม ที่จะตามหาแล้วพาพวกเขากลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงในโปแลนด์  ค่ายที่เขาพักอยู่ใกล้โอเบอร์ไวซ์

เขาจึงขอให้ทหารอเมริกันพาเขากลับไป ที่ปราสาทเพื่อดูว่ามีบันทึกเกี่ยวกับเด็กที่ถูกลักพามาและที่อยู่ของครอบครัวบุญธรรมหรือไม่ ทหารอเมริกันเอาด้วยโดยให้ร้อยเอกอเมริกันนายหนึ่งขับรถพาเขาไปที่ปราสาท  เขากับร้อยเอกอเมริกันขับรถผ่านประตูใหญ่เข้าไปขอพบผู้ดูแล พวกเขาได้รับคำบอกว่าตอนนี้ปราสาทกลายเป็นโรงพยาบาลเยอรมันและไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเด็กอยู่เลย

เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่ามีหญิงเยอรมันคนหนึ่ง ที่เป็นครูสอนภาษาเยอรมันเคยพาเขาไปที่บ้านของเธอ เธอกับสามีซึ่งเป็นตำรวจได้รับเด็กชาวโปแลนด์ไว้เป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เป็นเด็กหญิงผมสีเข้มอายุน้อยกว่าเขาปีหนึ่งชื่อเฮเลน่า  เขาจำทางไปบ้านเธอได้จึงขับรถไป ร้อยเอกอเมริกันเข้าไปก่อน  เขากลับออกมาบอกว่ามีเด็กหญิงผมเข้มชื่อเฮเลน่าจริง แต่แม่เธอยืนยันว่าเธอเป็นเยอรมันและเอกสารต่าง ๆ ก็ระบุอย่างนั้น   เขาจึงบอกว่า “เราเข้าไปพร้อมกัน  ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”  

คราวนี้ทั้งหญิงเยอรมันและเฮเลน่าจำเขาได้  พวกเธอแสดงปฏิกิริยาต่างกัน หญิงเยอรมันช็อคหน้าซีด ส่วนเฮเลน่ายิ้มดีใจและพูดตอบโต้กันด้วยภาษาโปแลนด์ ร้อยเอกอเมริกันสิ้นสงสัยและบอกให้เฮเลน่าเก็บข้าวของไปกับพวกเขาเพื่อจะได้กลับโปแลนด์  วนหญิงเยอรมันร้องให้ด้วยความปวดร้าวที่ต้องสูญเสียเด็กที่เธอคิดว่าเป็นลูกไป

ถึงจุดนี้เขาสงสัยขึ้นในฉับพลันว่าทำถูกหรือไม่ เด็กหญิงดูมีความสุขดีกับครอบครัวบุญธรรมที่นี่  ถ้าหาครอบครัวแท้จริงของเธอในโปแลนด์ไม่พบจะทำยังไง    การกระทำของเขาทำให้เกิดความเศร้าโศกกับหญิงจิตใจดีงามคนหนึ่งซึ่งยินดีรับเฮเลน่าไว้อุปการะ

ตอนนี้เธอต้องปวดร้าวเช่นเดียวกับพ่อแม่ชาวโปแลนด์ของเด็กหญิงตอนที่เธอถูกชิงมาเมื่อสามปีก่อน ในทางปฏิบัติเฮเลน่าจะมีความสุขในออสเตรียหรือในโปแลนด์มากกว่ากัน  ไม่มีใครรู้อนาคตจึงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ เขาเริ่มเรื่องนี้ขึ้นจึงต้องเดินหน้าต่อไป

หญิงเยอรมันหยุดร้องให้ยืนนิ่งงัน  เธอช็อคจนไม่ได้กล่าวลาเฮเลน่า พอเด็กหญิงปีนขึ้นรถพร้อมกับเขาและร้อยเอกอเมริกัน  เธอก็วิ่งถลาออกมาจากบ้านกรีดร้องแล้วทุ่มตัวใส่หน้ารถ ตอนนั้นเองสามีเธอขี่จักรยานยนต์กลับมาพอดี เมื่ออธิบายทุกอย่างให้เขาฟังเขาบอกภรรยาว่าไม่มีทางเลือกอื่นต้องให้เฮเลน่าไป

เดือนธันวาคม 1945 เฮเลน่ากลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองลอดซ์ทางตะวันตกของกรุงวอร์ซอ  สามสิบปีให้หลังเขาเดินทางกลับโปแลนด์แล้วไปตามหาเธอที่บ้าน    เขากรดกริ่งหน้าบ้าน  มีวัยรุ่นหญิงหน้าตาละม้ายกับเด็กหญิงที่เขารู้จักจากค่ายออกมาเปิดประตู  เธอบอกว่าแม่เธอไปทำงาน  เขาจึงขอให้เธอ   “โทรบอกแม่ว่าเพื่อนจากออสเตรียมาเยี่ยม”

ตอนนั้นเฮเลน่าเป็นผู้พิพากษาแล้ว พอเธอได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวเธอเลื่อนคดีและงานทุกอย่างทันทีแล้วรีบกลับบ้าน เป็นการพบกันที่มากด้วยอารมณ์   กอดกันแน่นพร้อมน้ำตา  ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งเขาจึงถามว่า 

“ผมต้องถามคุณอย่างหนึ่ง  ผมทำถูกรึเปล่าที่ใช้กำลังพรากเธอมาจากครอบครัวชาวออสเตรีย”

เฮเลน่ายิ้ม “เป็นสิ่งดีที่สุดที่คุณทำ”   

“ฉันอยากเป็นนักกฎหมายมาตลอดแล้วตอนนี้ก็ได้เป็นสมใจ  ฉันไม่แน่ใจว่าครอบครัวออสเตรียจะยอมให้ฉันได้รับการศึกษาอย่างดีเช่นนี้”


สำหรับตัวเขาเองกลับไม่มีการกลับบ้านแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนหนังละครทั้งหลาย ในทันทีหลังสงครามเขาพยายามติดต่อพ่อแม่และน้องสาว   เขาได้รับการบอกกล่าวว่าพวกเขาสาบสูญไปเหมือนคนโปแลนด์อื่นอีกเป็นล้านคน หลังจากนั้นอีกนานเขาจึงได้ยินเรื่องราวการสังหารหมู่ใกล้เขตบ้านเขาในช่วงที่ทหารเยอรมันถอยร่นจากการรุกไล่ของทหารรัสเซีย  คาดว่าพ่อแม่และน้องคงอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนั้นนั่นเอง

เขาไม่ต้องการกลับโปแลนด์อย่างเด็กกำพร้า เขาจึงเข้าเป็นทหารโปแลนด์ไปประจำอยู่อิตาลีแล้วต่อไปที่อังกฤษ  ความตั้งใจตั้งแต่ยังเด็กที่จะอุทิศตนให้ศาสนาได้ผนวกกับประสบการณ์ระหว่างสงคราม ทำให้เขาเข้าร่วมงานมิชชั่นเนอรีและบวชเป็นพระในที่สุด ขณะที่อเล็กซานเดอร์โชคดีรอดสงคราม  เด็กอีกจำนวนมากเป็นเรือนล้านไม่รอด  ขณะที่เด็กเหล่านี้ทนทุกข์ทรมานขนาดนี้  ผู้เป็นพ่อแม่ที่กล่าวกันว่าเจ็บปวดเป็นทวีคูณนั้นจะเจ็บปวดเพียงใด 

สามสิบปีให้หลังในอีกซีกโลกหนึ่งภายใต้ผู้นำบ้าคลั่งเหมือนกันเด็ก ๆ ในกัมพูชาข้างบ้านเรานี้เองก็ประสบชะตากรรมคล้ายกัน ต้องอดอาหาร เจ็บป่วย  พลัดพรากจากพ่อแม่ ทำงานหนัก และล้มตายเป็นเรือนแสน หรือมนุษย์เราจะไม่มีวันเรียนรู้จากบทเรียนใด ๆ เลย

ขอบคุณที่มา: http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=179778.0
cr. .tuaytoon.com
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
warrior B's profile


โพสท์โดย: warrior B
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: Thorsten
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หนุ่ม 15 ถูกแทง 50 แผล และ ถูกเผาทั้งเป็น ในเมืองมาร์กเซยอหิวาต์ระบาดหนักในไนจีเรีย ติดเชื้อเกินหมื่นและดับนับร้อยสาวตั้งกฎหากผู้ชายต้องการจูบเธอ ต้องปฏิบัติตามกฎ 3 ข้ออย่างนี้เคร่งครัด เพราะเธอมีอาการแพ้อย่างรุนแรงญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกอีกแล้ว!!อิสราเอลโจมตีมัสยิดในกาซา ดับคนดับเจ็บเกือบร้อยบ็อกการ์ต ผู้คุมวิญญาณ ความกลัว และความสิ้นหวัง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ด่วน! ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ถนนวิภาวดี เสียชีวิต 23 ราย นายกฯ ยื่นมือช่วยค่ารักษา (คลิป)
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อคุณออกกำลังกายเสร็จแล้วอาบน้ำในทันที โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมาเฉลยด้วยตัวเองผู้เชี่ยวชาญเผย ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย 6 อย่าง เมื่อคุณกินกล้วยเป็นประจำวันละ 1 ผลนักวิทยาศาสตร์เผย วิตามิน ที่ทำให้คุณผู้ชายมีลูกได้ง่ายขึ้นปล่อยให้ความอิจฉามันครอบงำ แล้วจงเรียนรู้จากมัน 'โรนัลด์ วีสลีย์'
ตั้งกระทู้ใหม่