กินน้ำมันปลากับวิตามินซีได้หรือไม่?
น้ำมันปลากับวิตามินซีได้หรือไม่?
หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์กับผลไม้รสเปรี้ยว การเพิ่มอาหารเสริม ทั้งสองตัวนี้ก็เป็นสิ่งที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ และควรตรวจสอบอาหารเสริมทั้งสองตัวนี้ก่อน ว่าผลิตมาจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน ไม่มีสารตกค้างใดๆ ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้ร่างกายแข็งแรง ส่วนวิตามินซี ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้หายได้ไวขึ้น โดยเฉพาะแผลอักเสบ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถหาแหล่งอาหารมาได้จากธรรมชาติ ก็อาจจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้
น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาต่างกันยังไง?
เรารู้จัก “ น้ำมันตับปลา ” มานานแล้ว โดยใช้เป็นอาหารเสริมซึ่งมีวิตามินที่สำคัญคือ วิตามินเอ และ ดี น้ำมันตับปลาเป็นน้ำมันที่สกัดจากตับปลาทะเลบางชนิด เช่น ปลาคอด (COD) ส่วนน้ำมันปลาไม่ใช่น้ำมันตับปลา แต่เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนหัวหรือเนื้อปลาทะเล ในน้ำมันปลานี้จะอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ กรดไขมันจำเป็นชนิดนี้เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว มีชื่อเรียกว่า “โอเมก้า 3” ซึ่งมีอยู่มากในน้ำมันปลาเป็นปริมาณมาก
1.บรรเทาอาการโรคข้อกระดูกอักเสบ ไม่เฉพาะแคลเซียม วิตามินดี และแมกนีเซียม เท่านั้น แต่น้ำมันปลาก็ยังช่วยให้สุขภาพกระดูกดีขึ้นได้
2.ช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้ กรดไขมันในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของหลอดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง
3.กรดไขมันโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการอักเสบ อาการตึงแน่น และอาการข้อยึดตอนเช้า ในผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อมและข้ออักเสบรูมาตอยด์
4.น้ำมันปลาส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก มีบุตรยาก และหญิงตั้งครรภ์ กระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาอนุญาตให้ใช้น้ำมันปลาเป็นยาที่ช่วยลดไขมันชนิดไม่ดีที่เรียกว่า “ไตรกลีเซอไรด์” ได้
5.โอเมก้า 3 จะมีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันลดลง โดยที่น้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ
6.ช่วยชะลอความชรา
7.รักษากล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน (Lean muscle) ในผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อของผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่านการทำเคมีบำบัดได้
8.ช่วยให้ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายดีขึ้น เพราะช่วยให้ไขมันในร่างกายลดลง
9.มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน โดยนักวิจัยพบว่ากรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นได้
10.มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้ 20% – 50% ที่สำคัญ คือ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย สามารถใช้ร่วมกับยาในการลดระดับไขมันในผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงได้
11.เสริมสร้างพลังให้กับสมองและความจำ ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
4 ข้อควรระวังของน้ำมันปลา:
1.ผู้ที่มีโรคประจำตัว ให้ปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนรับประทานทุกครั้ง
2.น้ำมันปลา มีคุณสมบัติต้านการจับตัวเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดที่ทำให้เลือดหยุดไหล ผู้บริโภคน้ำมันปลาปริมาณมากต่อเนื่อง จึงอาจเกิดภาวะเลือดออกได้ง่าย จึงควรระวังการรับประทานน้ำมันปลาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกง่าย เช่น ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด(ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) เช่นยา วาร์ฟาริน (Warfarin), แอสไพริน (Aspirin) และโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) เพราะจะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกเพิ่มมากขึ้น
3.หากต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานน้ำมันปลาก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 14 วัน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดจากแผลผ่าตัดได้
4.การรับประทานน้ำมันปลาในขนาดสูง จะเพิ่มปริมาณแคลอรีที่ได้รับต่อวัน จึงอาจส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือดเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลงได้
แหล่งที่มา: https://www.siamzoneza.com/5183/