"ระวัง!!นายกคนใหม่!! เลือกแย่ได้แย่?

 ทีมข่าวตะลึง ขอเสนอบทเรียน ในอดีต

เลือกตั้ง เลือกคนที่เหมาะกับชาติ 

 อย่าเลือก เพราะดูดี คิดเก่ง

แต่...ไร้ความสามารถ ทำไม่ได้อย่างที่พูด

#เปรียบเทียบเศรษฐกิจ ปี 58ถึงต้นปี61
จากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ

#ปี2558 เศรษฐกิจ แบบจำแนกประเภท

-#การส่งออกประเภทบริการ
ต้นปีดี ถึงกลางปี ปลายปี ตกต่ำ
(ปี59) ต้นปี ดี กลางปี ขยับลง ปลายปี ต่ำ
(ปี60-ต้น61) ต้นปี ต่ำ กลางปี ต่ำ ปลายปี ทรงตัว
ต้นปี61 ดี
-#การจับจ่ายค้าขายภาคเอกชน
ต้นปีถึงปลายปี เกณฑ์ ดี
(ปี59) ต้นปี ดีมาก กลางปีขยับลง ปลายปี ต่ำลงอีก
(ปี60-ต้น61) ต้นปี ทรงตัว กลางปี ทรงตัว ปลายปี ขยับขึ้นเล็กน้อยแบบทรงตัว ถึง ต้นปี61
-#การลงทุนภาคเอกชน (บริษัทและเกษตร)
ต้นปี ดีมาก กลางปี ระดับทรงตัว ปลายปี ต่ำ
(ปี59).ต้นปี ดีมาก กลางปีถึงปลายปี ตกต่ำ
(ปี60-ต้น61) ต้นปี ตกต่ำ กลางปี ทรงตัว ปลายปี ขยับขึ้นเล็กน้อย ถึงต้นปี61
-#ภาครัฐส่งเสริมเศรษฐกิจ (งบกระตุ้นเศรษฐกิจ)
ต้นปีถึงกลางปี ระดับดี ปลายปี ขยับลง
(ปี59) ต้นปี ดีมาก กลางปี ขยับลง ปลายปี ต่ำสุด
(ปี60-61) ต้นปี ดี กลางปี ต่ำ ปลายปี ต่ำสุด
ต้นปี61 ต่ำ
-#ภาคการส่งออกสินค้า
ต้นปี ต่ำ กลางปี ทรงตัว ปลายปี ดีมาก
(ปี59) ต้นปี ดีมาก กลางปี ต่ำ ปลายปี ต่ำสุด
(ปี60-ต้น61) ต้นปี ต่ำ กลางปี ต่ำ ปลายปี ต่ำสุด
ต้นปี61 ระดับต่ำ
-#ภาคการนำเข้าสินค้า (รัฐและเอกชน)
(ได้แก่ สินค้าทุกประเภทของภาคเอกชน)
(ส่วนฝ่ายรัฐ จำพวกวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ อาวุธ)
ต้นปี ดี กลางปี ทรงตัว ปลายปี ต่ำมาก
(ปี59) ต้นปี ดีมาก กลางปี ทรงตัว ปลายปี ต่ำ
(60-ต้น61) ต้นปี ดี กลางปี ดีมาก ปลายปี ดีมาก
ต้นปี61 ดีมาก

#เรายังอยู่กันที่เรื่องเศรษฐกิจ
จากการเก็บผลสำรวจจากประชาชน
ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนในทุกสาขาอาชีพ กว่า1500คน โดยให้เป็นผู้โหวตเอง
 #จึงได้ผลสำรวจดังนี้
#ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่า

" เศรษฐกิจการเงินแย่"

และเมื่อจำแนกออกเป็นสาขาอาชีพใหญ่ๆ
#ได้แก่
1. เจ้าของกิจการ
2. พนักงาน ลูกจ้าง เงินเดือน
#พบว่า????
1.1 ผู้ประกอบอาชีพเป็นเจ้าของกิจการทุกประเภท
#จะรู้สภาวะของเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่สุด
1.2 ผู้เป็นลูกจ้าง พนักงานเงินเดือน ทุกสาขา
#จะรู้สภาวะของเศรษฐกิจได้น้อยกว่า เนื่องจากพวกเขาได้รับรายได้เป็นประจำอยู่แล้ว

#ในขณะที่เจ้าของกิจการจะมีรายได้จากผลการประกอบกิจการไม่แน่นอน ตามสภาวะเศรษฐกิจ
จึงทราบถึงสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงได้ดีกว่า

#วิธีการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจเบื้องต้นคือ?
เมื่อเราเดินเข้าตลาดนัด ให้ถามพ่อแม่ค้าว่า
#ขายของเป็นยังไงบ้าง? ลองถามหลายๆร้าน
แล้วนำมาประมวลผลที่ได้จากคำตอบ
จะทราบถึงสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นๆ

หากท่านพบว่าข้าวของมีราคาแพงขึ้น หรือมีการเกร็งกำไรในการขาย

#นั้นหมายความว่า
เศรษฐกิจกำลัง ฝืดตัวในขณะนี้
มูลค่าของน้ำมันแพงขึ้น สำหรับการขนส่ง

หากท่านพบว่า มีสินค้าลดราคาถูกลงมากๆ
ให้ตั้งข้อสังเกตุ ว่าเป็นการขายเพื่อ

โล๊ะสต็อก
ระบายของเก่าออกให้หมด โดยเฉพาะเสื้อผ้า
หรือตามห้าง ที่มีโปรฯลดบ่อยขึ้น
#จุดนี้หมายถึงการเร่งระบายของไม่ให้ค้างเนื่องด้วยผลการขายที่ผ่านมา ไม่ดีพอ

นั่นเอง

#สุดท้ายสภาวะเศรษฐกิจจะปรับทุกเดือน
#และมีผลมาจากการบริหารประเทศ

อีกด้วย
#ส่วนผลกระทบจากตลาดโลก

ก็เป็นส่วนหนึ่ง

#ระดับเศรษฐกิจแบบจำแนกห้วงนี้
ส่วนใหญ่ 
พบว่า เศรษฐกิจ ถ้าจำแนกออกย่อยๆเป็นเรื่องๆ
พบว่า...
การส่งออก เติบโต
จำพวกอุตสาหกรรม
พลังงาน และ การก่อสร้าง
ส่วนการส่งออก
ด้านเกษตรกรรม
ยังทรงตัว
ด้านการนำเข้า สูงกว่าส่งออก
โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง
ใช้งบประมาณนำเข้าจำนวนมาก

ด้านลงทุนของต่างชาติ
ชะลอตัวลงกว่าปีก่อน

ด้านการค้าภายใน
ได้แก่การจับจ่ายทุกประเภท
อยู่ในระดับ ทรงตัว
ไม่กระจายตัวพอ รายได้ไม่หมุนเวียน

#โดยสรุปที่เติบโตคือเศรษฐกิจภาคใหญ่ที่รัฐมีส่วนได้เสีย
#แต่ในระดับรากหญ้าประชาชนเศรษฐกิจยังทรงตัว
พบเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้น และปัญหาอาจมาจาก
การจัดระเบียบเรื่องที่ทำกินการค้าในระดับประชาชน ทำให้เกิดปัญหาด้านรายได้ ที่ลดลง
ส่งผลให้ การกระจายเงินรายได้ไม่หมุนเวียนดีพอ
จนกระทั่ง ประชาชนพากันประหยัดสูงสุด
อันเป็นเหตุให้เกิดความเครียด ความกดดัน
ปัญหาสังคมอื่นๆตามมา
ยังมีอีกมากเลยคับ.

#ฝ่ายบริหารบ้านเมือง คือ ช้างเท้าหน้า เสาหลักของบ้านหลังนึง

นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช2559
ปลายปี เศรษฐกิจค่อยๆโรยตัวลง ทรงตัวอยู่นั้น
เราได้เห็นได้ยินการค้าขายที่ค่อยๆฝืดลง จากปากพ่อค้าแม่ค้า มากมาย

ธุรกิจขนาดใหญ่บางแห่ง ค่อยๆปิดตัวลง หรือ ยุบสาขา ด้วยเหตุทางรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อการค้า

จวบจนเข้าสู่ปีพุทธศักราช2560
เราได้เห็นการพัฒนาแก้ไขบ้านเมือง ตามนโยบายต่างๆ การจัดสรรค์งบด้านการก่อสร้าง พัฒนา
ระบบ คมนาคม และ อุปกรณ์ เทคโนโลยี อยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่...บางอย่างไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่

ด้านการพัฒนาส่งเสริมเศรษฐกิจ ไม่สมดุลเท่าที่ควร
ทำให้ เศรษกิจฝืดลงอีก อย่างเห็นได้ชัด จากการที่
ประชาชนเริ่มประหยัด อดออมเงิน จับจ่ายน้อยลง
ในขณะที่มีร่างนโนบายเรื่องค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
และบุคคลเพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนหวั่นวิตก เรื่องการใช้เงิน จึงเป็นผลให้ การหมุนเวียนเม็ดเงินขาด
สมดุลอย่างหนัก

นักลงทุนต่างชาติ ชะลอการลงทุนลง
ด้วยเกิดความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ความคุ้มค่าในการลงทุน คืออีกเหตุผลที่ยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลงอีก

การนำเข้าสินค้าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก หวังเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของประชนชนในประเทศ
แต่การส่งออก ทรงตัว อยู่ในระดับ เอาแน่ไม่ได้
นั้นคือนิมิตที่ไม่ดีนัก เพราะเม็ดเงินออกนอกประเทศมากกว่าเข้าประเทศ

ในประเทศประชาชนจับจ่ายกันอย่างระมัดระวังตามเหตุผลข้างต้น แต่การประหยัดที่มากขึ้น เป็นผลดีต่อตัวเอง แต่ส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจภายใน คือ...
เม็ดเงินไม่กระจาย หมุนเวียน ไม่เกิดความสมดุล นี่คืออีกปัจจัยเล็กๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจฝืดซ้ำอีกด้วย

ด้านอาชญากรรม เกิดการก่อคดีมากขึ้น ที่รุนแรงแปลกไป มีการชิง ปล้น มากขึ้น มีการฉ้อโกง ทุจริตน้อยใหญ่มากมาย แบบเรื่องนี้ไม่ทันจบ อีกเรื่องมาแทน สิ่งเหล่านี้มีสาเหตุมาจากความเครียดของประชาชน ที่อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจโรยตัวลง ถึงระดับ ช๊อตเงินกันไปหลายราย

ภาคธุกิจการเงิน ออกโปรโมท การกู้หนี้ยืมสิน แข่งกันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งมาจากความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจการเงินที่ซบเซาลง และตอบโจทย์ประชาชนในขณะนี้ได้ดี ในสภาวะเศรษกิจแย่

ด้านรากหญ้าสามัญ ประชาชนทั่วไป มองหาธุรกิจส่วนตัว และงานเสริม เพิ่มมากขึ้น ทุกรูปแบบ จนเห็นได้ชัดว่า ใครๆก็อยากเป็นพ่อค้าแม่ค้า ตลาดนัดเพิ่มขึ้น จำนวนผู้ค้าเพิ่มขึ้น นี่คือผลกระทบมาจากการเงินที่ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย จึงต้องหาเพิ่ม

ผลกระทบเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้รัฐจำแนก
งบไม่ทัน ในการบริหาร ขาดสมดุล ทิ้งช่วงไป
รัฐจึงต้องจำใจหางบเข้าคงคลังเพิ่ม ซึ่งไม่ควรจะเป็น

#จากบทเรียนเหล่านี้เราควรทบทวนแก้ไขที่ต้นเหตุไม่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารชาติให้พินิจเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญที่สุด.
ทั้งการนำเข้าและส่งออก โดยเฉพาะการอยู่ในที่สูงแล้วมองออกไปให้ไกล ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ไกลตัวก่อน แล้วไล่เข้ามาใกล้ๆตัวเรา แบบนี้ คือ
วิสัยของผู้นำ หรือเสาหลักในบ้าน
#ทำไมต้องพัฒนาเศรษกิจก่อนเรื่องอื่นๆ???
เปรียบเทียบประเทศ เหมือน บ้านหลังหนึ่ง
ถ้าเงินเข้าบ้านไม่มี หรือ ขาดสมดุล
คนในบ้านก็ทะเราะกันเอง แตกแยกกัน ไร้สามัคคี.
#ส่วนการพัฒนาเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าสิ่งแรกไม่ดีพอ เรื่องอื่นก็พัฒนายาก เพราะคนแตกแยก