“จิ๊ก เนาวรัตน์” อดีตนางเอกหมายเลขหนึ่ง สู่นางฟ้าของร่างไร้วิญญาณ
จิ๊ก เนาวรัตน์ นักแสดงหญิงขวัญใจคนไทยผู้มากด้วยความสามารถ ปัจจุบัน นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว เนาวรัตน์ยังอุทิศตนให้สังคมด้วยการเป็น Blue Angel หรือจิตอาสาให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี นอกจากนี้ยังอาสาแต่งหน้าศพ (Volunteer Mortuary Beautician) ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย[ต้องการอ้างอิง
บีบีซี นิวส์ ได้นำเสนอเรื่องราวการทำงานเป็นจิตอาสาของเธอให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์พร้อมบทสัมภาษณ์ รวมทั้งรายการเมืองไทย เช่น วีไอพี วู๊ดดี้ ตื่นมาคุย The Lady เป็นต้น
เธอเผยว่าด้วยความที่เคยป่วยมาก่อน ดิฉันจึงรู้ดีว่าคนไข้ต้องการอะไรจากหมอและพยาบาลบ้าง ฉะนั้น พอดิฉันหายและเข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาล ดิฉันเลยมีโอกาสได้ให้ในสิ่งที่คนไข้ต้องการ
ความจริงแล้วคนไข้ไม่ต้องการอะไรมากหรอกค่ะ แค่เรายิ้มให้เขา ปลอบขวัญ ให้กำลังใจเขาให้ลุกขึ้นมาสู้กับโรคจนหายและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมก็พอแล้ว แม้บางทีเราจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนป่วยบางคนจะไม่มีวันหาย แต่กำลังใจก็ช่วยลดทอนความเจ็บปวดของเขาลงได้
ดิฉันคิดว่า โรคภัยไข้เจ็บเป็นเหมือนเงาที่จะติดตามตัวเราไปตลอดชีวิต ไม่อาจแยกจากเราได้ ดังนั้นแทนที่จะกลัว เราจึงควรหันมาดูแลสุขภาพให้ดี ไม่ให้เงานั้นมาเบียดบังเรามากจะดีกว่า บางคนพอรู้ตัวว่าเป็นโรคร้ายก็หงายตึง กลัวตาย ดิฉันอยากบอกว่า อย่าไปกลัวเลย คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน แต่จะทำยังไงให้ร่างกายได้รับผลกระทบน้อยที่สุดดีกว่า
บางคนเป็นโรคเบาหวาน แต่ถ้ากินยาตามหมอสั่งก็อยู่ได้นานถึงยี่สิบปี บางคนเป็นมะเร็ง หมอวินิจฉัยว่าจะอยู่ได้อีกสามเดือนเท่านั้น แต่ถ้าเขาดูแลตัวเองดีและมีกำลังใจดีก็สามารถอยู่ได้อีกเป็นสิบปีก็มี ดังนั้นจำไว้นะคะ หมอไม่ใช่ผู้ลิขิตชีวิตเรา คนที่กำหนดชีวิตเราได้คือตัวของเราเอง ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอยู่ให้มีความสุขค่ะ
ทุกวันนี้ต่อให้เป็นโรคอะไร ดิฉันก็ไม่กลัวทั้งนั้น แต่จะมุ่งมั่นรักษาและดูแลตัวเองให้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย ทุกอย่างเป็นอาจารย์เราได้ทั้งนั้น เพราะทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย ศพทุกศพที่ดิฉันแต่งหน้าให้ก็ถือเป็นอาจารย์ เพราะเขาสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตคนก็เท่านี้เอง
หลายคนแปลกใจว่า อยู่ดี ๆ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ คิดอะไรถึงไปแต่งหน้าศพ
เริ่มจากมาช่วยคุณหมอดูแลคนไข้นี่ละค่ะ จากช่วยวัดความดัน พาผู้ป่วยไปเข้าห้องน้ำ ช่วยตรงนี้อยู่ 5 – 6 ปีก็เลื่อนขั้นขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่ง 2 – 3 ปีหลังเริ่มคลุกคลีอยู่กับหมอและพยาบาลมากขึ้น ก็ได้ไปเห็นการทำงานของอาจารย์หมอที่ทำการผ่าชันสูตร ซึ่งต้องแต่งหน้าให้ศพด้วย พอดีหมอเป็นผู้ชายก็จะแต่งหน้าศพไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ดิฉันเลยอยากช่วย บวกกับที่ ดิฉันไม่ได้แต่งหน้าให้ป้าจุ๊ (จุรี โอศิริ) ตอนที่แกจากไปทั้งที่เราสนิทกันมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจมาตลอด พอมีโอกาสดิฉันเลยอาสาเข้าไปแต่งหน้าศพให้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนกลัวผีมากนะคะ สมัยก่อนนี่อยู่คนเดียวแทบไม่ได้เลย เวลาปิดไฟนอนมืด ๆ ก็มักจะจินตนาการไปว่าเห็นคนมาแอบมอง แต่ในเมื่ออาสาแล้วก็ต้องเต็มที่ แม้บางทีจะยังกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ต้องทำใจแข็ง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
ก่อนจะแต่งหน้าศพดิฉันจะขออนุญาตทุกครั้ง แล้วก็คุยกับเขาไปพลางแต่งหน้าไปพลาง พอเสร็จเรียบร้อยก็ขอขมาลาโทษเรียบร้อย แม้ศพจะบอกไม่ได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบเรา
แต่ดิฉันเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ว่า ทุกศพที่ผ่านมือเราไปไม่มีศพไหนที่ไม่ชอบเรา อย่างศพแรกนี่หลังจากดิฉันแต่งหน้าให้เขาเสร็จ ปรากฏว่าหน้าของเขาอมยิ้ม พอญาติเขาเห็นก็บอกเลยว่า ไม่เคยเห็นพี่ชายยิ้มอย่างนี้มาก่อน ปกติจะเป็นไอ้เสือยิ้มยาก ทำงานเครียดตลอด เราได้ยินแค่นี้ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
ถึงวันนี้ดิฉันคงแต่งหน้าให้ศพมาเป็นร้อยศพแล้ว อย่างหนึ่งที่รู้สึกภูมิใจมากคือ การได้พูดคุยกับศพระหว่างที่แต่งหน้าให้เขาสื่อสารให้เขารู้ว่า ไม่มีใครทิ้งเขาไปนะ แม้ในห้องเย็นจะให้ความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงามาก ๆ แต่คนตายก็ไม่ได้นอนแน่นิ่งคลุมผ้าอยู่ตามลำพัง เขายังมีเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์อยู่เป็นเพื่อน
แหล่งที่มา: https://www.sharenews168.info