มิควรลืมเลือน! โศกนาฏกรรมสังหารหมู่นานกิง ประวัติศาสตร์ที่ "ญี่ปุ่น" ต้องยอมรับ เรียนรู้ และแก้ไข
สำนักข่าวซินหัวภาคภาษาไทย ย้อนรอยประวัติศาสตร์สังหารหมู่นานกิง ครบรอบ 81 ปี ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดครองนครนานกิง เมื่อปี 1937 ด้วยการสังหารชาวจีนต่อเนื่องยาวกัว่า 6 สัปดาห์และข่มขืนและฆ่า ทั้ง สตรี หญิงตั้งครรภ์ (ข่มขืนเสร็จก็ผ่าท้องแม่เอาเด็กออกมาเล่น) เด็ก คนแก่ เป็นโศกนาฏกรรมแสนโหดเหี้ยมที่ยากจะลืมเลือน
โดยทางซินหัวรายงานว่า มิควรลืมเลือน! โศกนาฏกรรม #สังหารหมู่นานกิง ประวัติศาสตร์ที่ "ญี่ปุ่น" ต้องยอมรับ เรียนรู้ และแก้ไข
ย้อนกลับไปในวันที่ 13 ธ.ค. 1937 กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกรานยึดครองนครหนานจิง (นานกิง) เมืองหลวงของจีนในเวลานั้น และเปิดฉากการสังหารหมู่ชาวจีนที่กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ กลายโศกนาฏกรรมแสนโหดเหี้ยมที่โลกต้องจารึก
ทว่าแม้กาลเวลาจะผันผ่านมานานกว่า 81 ปีแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังคงแสดงท่าทางอึกอักมิเต็มใจยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ที่ตนเองได้กระทำไว้กับประชาชนจีนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งถูกทหารญี่ปุ่นเข่นฆ่าเอาชีวิตไปราว 300,000 คน
ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ทั้งระดับพลเรือนและระดับรัฐบาล พากันเมินเฉยเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง โดยเฉพาะนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ยึดหลักคิดอนุรักษ์นิยมอย่างเหนียวแน่น กลับ “หูหนวกตาบอด” ต่อเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทัศนคติของรัฐบาลญี่ปุ่นต่อเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง สร้างความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนชาวจีนอย่างมาก และขัดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น ซึ่งยังคงอยู่ในสภาวะถมึงทึงมึนตึงต่อกันอย่างชัดเจน
วันนี้ (13 ธ.ค. 2018) จึงนับเป็นวันพิเศษที่เราต้องทำความเข้าใจว่าการรำลึกและการจดจำเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงอันเป็นโศกนาฏกรรมแห่งประวัติศาสตร์ คือสิ่งสำคัญยิ่งยวดทั้งต่อจีนและญี่ปุ่น รวมถึงโลกใบนี้ด้วย
#ญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์
ชาวญี่ปุ่นบางส่วนคิดว่าเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงคือเรื่องของคนรุ่นก่อนและคนรุ่นถัดมาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร พวกเขาคิดว่าการปฏิเสธหรือการลบเลือนประวัติศาสตร์จะช่วยดำรงเกียรติภูมิของญี่ปุ่น ส่วนการยอมรับและการขอโทษเป็น “การตำหนิตัวเอง”
อย่างไรก็ดี การปฏิเสธอาชญากรรมทางประวัติศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้คนในเอเชียตะวันออกและโลก กลับมิช่วยปกป้องภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เพราะหนทางเดียวคือการยอมรับสิ่งที่ตนเองก่อขึ้นเท่านั้น
เยอรมนีคือตัวอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีวิลลี บรันท์ แห่งเยอรมนีตะวันตก คุกเข่าต่อหน้าอนุสรณ์สถานเกตโตชาวยิวในกรุงวอร์ซอว์ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 1970 เพื่อขอโทษกรณีเยอรมนีก่อเหตุสังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในเวลาเดียวกันเยอรมนียังเสนอคำขอโทษอย่างเป็นทางการและการชดใช้ในรูปแบบต่างๆ แก่กลุ่มประเทศและประชาชน ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจากการบุกรุกรานและการฆ่าล้างนองเลือดของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
ดังนั้น ญี่ปุ่นที่พยายามแพร่กระจายแนวคิดขยับขยาย “อิทธิพลระหว่างประเทศ” ของตัวเองเพื่อสถานะ “มหาอำนาจทางการเมือง” ของโลก ควรแสวงหาการยอมรับจากชาวเอเชียตะวันออกเสียก่อน จึงค่อยก้าวสู่การยอมรับจากประชาคมโลก
#เรียนรู้จากประวัติศาสตร์
หากกล่าวกันตามข้อเท็จจริง การปฏิเสธเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญของการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยปัจจัยสำคัญที่นำพาให้เกิดปัญหานี้คืออาการพะเน้าพะนอของ “สหรัฐอเมริกา”
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหรัฐฯ ไม่ได้สะสางชำระความกับลัทธิทหารญี่ปุ่น หยั่งผลให้อาชญากรสงครามมากมายหลุดพ้นจากการดำเนินคดีความผิดและการลงโทษ รวมถึงมีกองกำลังลัทธิทหารหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น
.
นอกจากนั้นในศตวรรษที่ 21 นี้ สหรัฐฯ ยังเพิกเฉยกองกำลังฝ่ายขวาของญี่ปุ่นและเดินหน้านโยบายเชิงสนับสนุนญี่ปุ่น เพื่อเหนี่ยวรั้งการพัฒนาของจีนและรักษาผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเอง ซึ่งนับเป็นความคิดตื้นเขินอย่างที่สุด
สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้จากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างดี เมื่อช่วงทศวรรษ 1930 สหราชอาณาจักรหวังยับยั้งความแข็งแกร่งของฝรั่งเศสและถ่วงดุลอำนาจในยุโรปด้วยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจการสั่งสมอาวุธของนาซีเยอรมนี
ซ้ำร้ายสหราชอาณาจักรยังเรียกร้องฝรั่งเศสลดขนาดกองทัพและจำกัดการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ นโยบายเหล่านี้ของสหราชอาณาจักรอำนวยความสะดวกแก่การฟื้นตัวและการเสริมความแข็งแกร่งของนาซีเยอรมนีจนสุดท้ายนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งนั้น สหราชอาณาจักรพบผู้คนบาดเจ็บล้มตายมหาศาล และสูญเสียสถานะมหาอำนาจผู้นำโลก กลายเป็นข้อเท็จจริงว่าพฤติกรรมอันโง่เขลาของสหราชอาณาจักร ส่งผลเสียหายย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
บทเรียนของสหราชอาณาจักรนั้นเป็นเรื่องที่มองเห็นได้ประจักษ์ชัดเจน กอปรกับที่นายวินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เคยกล่าวว่า “พวกที่ล้มเหลวจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์มักจะทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”
ฉะนั้นสหรัฐฯ จึงควรเรียนรู้ความผิดพลาดจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และไม่ไขว่คว้าแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้นด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ที่มีราคาแพงและอาจได้ไม่คุ้มเสียในท้ายที่สุด
#แนวคิดยุโรปเป็นศูนย์กลางต้องถูกทลาย
แม้กาลเวลาผันผ่านกว่า 81 ปี แต่เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงยังคงไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างทั่วโลก เมื่อกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศรู้เพียงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซีเยอรมนี
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความแพร่หลายของกระบวนทัศน์ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” (Europe-centric) ดังเช่นการปักหมุดหมายเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการด้วยเหตุการณ์เยอรมนีรุกรานโปแลนด์ในปี 1939
ความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มักอ้างอิงสงครามในยุโรป ทำให้สงครามในเอเชียโดยเฉพาะบนแผ่นดินจีนเป็นที่รับรู้น้อยมาก กล่าวได้ว่าจนถึงวันนี้ โลกยังคงไม่สามารถสลัดพันธนาการ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” เมื่อต้องทำความเข้าใจสงครามโลกครั้งที่ 2
ข้อเท็จจริงคือ “จีน” นับเป็นประเทศแรกสุดที่เข้าร่วมสงครามและต่อสู้เป็นเวลายาวนานที่สุด อีกทั้งเป็นหนึ่งในสนามรบสำคัญที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ความเสียสละและการมีส่วนร่วมของจีนจึงมิอาจถูกละเลย
การทลายกระบวนทัศน์ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การสู้รบของจีนในสงครามโลกครั้งที่ 2 จะช่วยทำให้โลกเข้าใจประวัติศาสตร์แบบองค์รวมของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดียิ่งขึ้น
เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ... เป็นจุลพิภพของหายนะและความทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่ที่มนุษยชาติต้องเผชิญในเวลานั้น ซึ่งควรถูกจดจำตราบชั่วนิรันดร์
(เรียบเรียงจากบทความคิดเห็นของสี่ว์ ฉวนปัว นักศึกษาปริญญาเอกประจำสำนักสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน)








