เมื่อติดเชื้อ HIV แล้ว ร่างกายจะเป็นอย่างไร?
เมื่อติดเชื้อ HIV แล้ว ร่างกายจะเป็นอย่างไร?
HIV หรือเอดส์ เป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเฉียดกายเข้าไปใกล้อย่างแน่นอน ซึ่งแต่ก่อนเราจะมีความเชื่อว่า หากติดเชื้อ HIV แล้ว คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอวันป่วยหรือตายไป แต่ปัจจุบันนี้ โรคเอดส์เป็นเพียงความเจ็บป่วยที่สามารถรักษาได้ และยังสามารถควมคุมเชื้อ HIV ไม่ให้ไปทำลายภูมิต้านทานได้อีกด้วย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้นิยามไว้ว่า “เอดส์คือโรคเรื้อรัง” ที่สามารถดูแล รักษา รวมถึงป้องกันไม่ให้ป่วยได้ โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถเรียนรู้ เข้าใจ เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ป้องกันด้วยตนเอง และร่วมกับแพทย์ผู้ทำการรักษา
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวี จะมีสุขภาพไม่ต่างจากเดิมเลย เพราะเชื้อเอชไอวีจะไม่ทำให้เราป่วยในทันที แต่จะค่อยๆ ทำลายภูมิคุ้มกันไปเรื่อยๆ ซึ่งอัตราเฉลี่ยของคนไทยที่จะเริ่มป่วย จะกินเวลาถึง 7-10 ปี ตั้งแต่วันที่ได้รับเชื้อเอชไอวีมานั่นเอง
ทำไมผู้ติดเชื้อ HIV บางคนไม่ป่วยหรือป่วยช้า ?
- สาเหตุอาจเกิดมาจากปริมาณและความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี ถ้าร่างกายมีปริมาณเชื้อเอชไอวีมากก็จะป่วยเร็ว ดังนั้นหากเราไม่มีพฤติกรรมความเสี่ยงที่จะรับเชื้อเพิ่ม รวมทั้งทานยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัด สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย
- การป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างทันท่วงที การป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสแต่ละครั้ง จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรทานยาป้องกันก่อนป่วย และถ้าป่วยก็ต้องรีบรักษาโดยแจ้งแพทย์ประจำของเราโดยตรง
ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย แต่ยังไม่มีอาการป่วย ในทางการแพทย์จะเรียกว่า“ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” เพราะร่างกายของเรา ยังมีภูมิคุ้มกันที่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อยู่ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้นๆ เรียกว่า เริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็น “ผู้ป่วยเอดส์” ซึ่งโรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนั้น เรียกว่า “โรคฉวยโอกาส” ซึ่งทุกโรคสามารถรักษาได้ และหลายโรคป้องกันไม่ให้ป่วยได้ ดังนั้น “เอดส์รักษาได้ เชื้อเอชไอวีควบคุมได้”