เพราะคนทุกคนสมควรที่จะมีโอกาสรอดจากโรคมะเร็ง...แต่ในวันนี้พ่อของผมไม่มีโอกาสนั้น

สมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อ Yoke Onout ได้แชร์เรื่องราวรายละเอียด ระบุว่า เพราะคนทุกคนสมควรที่จะมีโอกาสรอดจากโรคมะเร็ง... แต่ในวันนี้พ่อของผมไม่มีโอกาสนั้น #BecauseEveryoneDeservesAChangeToSurviveCancerButNotMyDad

โพสนี้เขียนเพื่อเป็นการแชร์เรื่องราวจากประสบการณ์จริงให้คนทั่วไปที่รู้สึกว่าโรคมะเร็งยังเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นโรคที่ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเราหรือคนข้างๆในเร็วๆนี้..ได้ตระหนักถึงโรคและเห็นความสำคัญของคณะแพทย์ไทยที่กำลังพยายามวิจัยยาเพื่อให้คนไทยสามารถผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้เองโดยไม่ต้องซื้อยาจากบริษัทต่างประเทศที่แพงหูฉี่จนคนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง

นับถอยหลังไป 6 ปีที่แล้วเมื่อปี 2555 ป๋าอายุ 65 ปี ตรวจพบเจอว่าเป็นมะเร็งที่ไตข้างซ้ายด้วยความบังเอิญจากการตรวจต่อมลูกหมากประจำปี ป๋าไปรับการรักษาด้วยการผ่าตัดไตข้างที่เป็นมะเร็งทิ้งไป หลังจากผ่าตัดก็ได้ติดตามผล follow กับหมอทุกๆ 1เดือน 3เดือน และ6เดือนมาตลอดหลายปีด้วยการตรวจเลือดก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

หลังจากที่ป๋าผ่าตัดไตทิ้งไปข้างนึง ป๋าก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ อาจมีเหนื่อยง่ายขึ้นบ้าง..คงเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่วัยชราตามอายุ

แต่แล้ว..พอครบ5ปี เมื่อหมอบอกว่าให้ทำ CT Scan ตรวจช่องท้องดูซะหน่อย ผลปรากฏว่าเจอก้อนเนื้อร้ายกระจายอยู่ทั่วช่องท้อง มีอยู่ที่ต่อมหมวกไต ตับอ่อน ปอด และกระดูกเชิงกราน

หมอจึงมาพูดคุยถึงวิธีการรักษาว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เบื้องต้นหมอได้ให้ข้อมูลว่า มะเร็งไตที่ป๋าเป็นมันค่อนข้างดุ ถ้าเป็นแล้วสามารถแพร่กระจายไปได้ทุกอวัยวะและที่สำคัญคือ มะเร็งชนิดนี้ไม่สามารถรักษาและหยุดแพร่กระจายได้ด้วยการคีโมหรือการฉายแสง ดังนั้น การรักษาในครั้งแรก หมอได้ให้ยาพุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นยาที่หวังผลเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งไตโดยเฉพาะ

ยาชนิดนี้เป็นยาเม็ด 1ขวดมี10เม็ด ต้องกินวันละ1เม็ดทุกวัน ค่ายาขวดละประมาณ 40,000 บาท เดือนนึงกิน3ขวด ตกค่ายาเดือนละ 120,000 บาท ค่ายาแพงมาก หมอก็เลยแนะนำให้เข้าโครงการวิจัยเป็นผู้ทดลองยา แล้วจะได้สิทธิซื้อ1แถม2 ก็เหลือเดือนละ 40,000 บาท โดยต้องปฏิบัติตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัดและให้ข้อมูลรายละเอียดตลอดการใช้ยา ก็เป็นอันตกรับข้อเสนอนี้ ลองดูกันซักตั้ง

พอกินไปได้ 3 เดือน หมอก็ให้ทำ CT Scan ช่องท้องติดตามผล ปรากฏว่าก้อนเนื้อร้ายที่กระจายอยู่เล็กลง ทั้งป๋าและทุกคนต่างก็ดีใจว่ายาได้ผล ก็เลยกินยาตัวนี้ต่อตามคำแนะนำของหมอ พอครบ 6 เดือน ก็ทำ CT Scan อีกครั้ง ปรากฏว่าก้อนเนื้อร้ายทรงตัว ไม่โตขึ้น และพอครบ 9 เดือน ก็ทำ CT Scan ครั้งที่3 ปรากฎว่าคราวนี้ ก้อนเนื้อโตขึ้นแล้ว

หมอก็มาคุยอธิบายให้เข้าใจว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่ร่างกายป๋าดื้อยาแล้ว ผู้ป่วยคนอื่นที่เคยใช้ยาตัวนี้ก็เช่นกัน จะดื้อยาประมาณ 6-9 เดือนหลังจากกินครั้งแรก หมอเลยคุยต่อว่าถ้าจะรักษาต่อขั้นตอนต่อไปก็คือ เปลี่ยนยา

ยาที่หมอแนะนำเป็นยาฉีดแบบการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็ง (Immunotherapy) ที่สั่งมาจากเมืองนอก (ยาตัวนี้แหละที่หมอจุฬากำลังระดมทุนเพื่อการวิจัยให้ไทยสามารถผลิตได้เอง) ค่าใช้จ่ายเข็มละประมาณเกือบ 150,000 และต้องฉีดทุก2อาทิตย์ ตกเดือนละประมาณเกือบ 300,000 บาท และต้องฉีดไปเรื่อยๆ อาจต้องใช้เงินประมาณ 8-10ล้านบาทหรือมากกว่านี้ในการรักษา

พอรู้ค่ายาฉีดตัวนี้ป๋าเลยบอกหมอว่าขอกลับมาคิดทบทวนดูก่อนว่าจะรักษาต่อไปหรือไม่อย่างไร..ถ้าไม่รักษาต่อหมอบอกว่าก็ต้องดูแลกันไปตามอาการ ประคองกันไปเรื่อยๆ

ท้าวความเพิ่มเติม ในช่วงประมาณเดือนที่ 8 ป๋าสะดุดล้มแล้วเอาแขนค้ำพื้น..จนกระดูกหัก เลยต้องผ่าตัดใส่เหล็กเพื่อดามกระดูก หมอที่ผ่าตัดเอาเศษกระดูกไปส่งตรวจผลชิ้นเนื้อ ปรากฎว่ากระดูกที่หักก็เป็นมะเร็งเช่นกัน หมอเลยฉายแสงกระดูกแขนข้างที่ผ่าตัดให้10แสง เพื่อให้มะเร็งไม่กระจายเพิ่มและกระดูกตรงนี้จะได้ต่อติดใช้งานได้ปกติ (ฉายวันละ1แสง ทำทั้งหมด10วัน)

ผลสแกนกระดูก (Bone Scan) บ่งชี้บอกไว้ว่ามะเร็งได้ลามไปที่บริเวณแขนซ้ายที่หัก ตรงหัวเข่าขวา บนเท้าซ้าย และเชิงกรานด้านซ้าย รวมถึงต่อมน้ำเหลืองใต้ไหปลาร้าข้างขวาด้วย (มันปูดขึ้นมา มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ชัด)

พอหลังจากหยุดยา และตัดสินใจไม่ฉีดยาตัวนั้นต่อ พ่อก็เริ่มมีอาการปวดเข่าข้างขวา หมอบอกว่าถ้าปวดมากๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือ ฉายแสงที่หัวเข่าเพื่อระงับอาการปวด แต่ต้องยอมรับให้ได้ว่าเข่าจะติด ไม่สามารถงอเข่าได้อีก การใช้ชีวิตประจำวันจะลำบากขึ้น แต่ถ้าปวดในระดับที่ทนได้ หมอแนะนำให้กินยาแก้ปวดบรรเทาอาการไปก่อน ป๋าเลยตัดสินใจไม่ฉายแสงที่หัวเข่าและกินยาแก้ปวดแทน เพื่อแลกกับการเดินเหินได้เองตามปกติ

 

หลังจากนั้นประมาณเดือนนึง ป๋าไอออกมาเป็นเลือดสด หมอทำ CT Scan ปอดให้อีกครั้ง ผลคือ ตอนนี้มะเร็งที่ปอดลามไปกินใกล้หลอดลม จึงทำให้ไอออกมาเป็นเลือด หมอจึงทำการฉายแสงให้ที่ปอด10แสงเพื่อเป็นการห้ามเลือด

หลังจากที่ฉายแสงครบ10ครั้ง ตอนนี้อาการไอของป๋ายังมีอยู่ต่อเนื่องแต่ไม่มีเลือดออกมาแล้ว แต่เค้ามีการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดและเบื่ออาหารมาก วันๆนึงกินอะไรแทบไม่ได้เลย นอนเกือบทั้งวัน เรี่ยวแรงไม่ค่อยมี ขับถ่ายก็ลำบาก

วกกลับมาในช่วงเดือนที่ 9 วันที่หมอให้ตัดสินใจว่าจะยังรักษาต่อด้วยวิธีการฉีดยาหรือไม่?

เมื่อป๋ากลับมาบ้านและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเงินเก็บที่มีอยู่ไม่พอที่จะเอาไปเสี่ยงรักษาต่อ และหมอก็ไม่การันตีด้วยว่าจะหายขาดได้รึป่าว ถ้าเอาไปฉีดคงอาจแค่ช่วยยืดเวลาให้อยู่ได้นานขึ้นอีกหน่อยเฉยๆ ป๋าเลยตัดสินใจว่าจะไม่รักษาต่อ แล้วมาบอกกับผมว่า..

“ตอนนี้อย่าไปโฟกัสเลยว่าจะรักษาต่อด้วยวิธีอะไร แต่ให้โฟกัสว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขที่สุดได้ยังไง”

ป๋าผู้มีร่างกายที่ถูกกัดกินด้วยเนื้อร้ายอยู่ภายในเต็มไปหมดแต่กลับเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุดตั้งแต่ผมเคยพบเจอ.. ป๋าผู้เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองได้บอกกับผมว่า อย่าเอาเงินไปละลายเลย เอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซื้อโน่นกินนี่ให้มีความสุขดีกว่า เอาไปเป็นค่ายาค่าดูแลแม่มีประโยชน์กว่า (แม่ผมเป็นสมองเสื่อม ค่ายาตกเดือนละประมาณ 6,000-8,000 บาท)

ผมนี่พูดไม่ออก..ได้แต่ร้องไห้ ผมทำอะไรไม่ได้กับการตัดสินใจครั้งนี้ของป๋า เพราะผมก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นเหมือนกัน ผมทำได้แค่ยอมรับและดูแลเค้าให้ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ตามสภาพ

ในวันนี้ป๋ามีอายุ 71ปี 10เดือน เป็นมะเร็งไตระยะลุกลามขั้นที่ 4 ป๋ายังคงพูดกับทุกคนเสมอว่า

“ชีวิตมันก็เท่านี้ คนเราวันนึงก็ต้องตาย แต่จะอยู่ยังไงให้ไม่เป็นภาระคนอื่นและพยายามมีความสุขในแต่ละวันที่เหลืออยู่ให้ได้”

ในขณะที่แม่ผมเป็นสมองเสื่อม คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ทุกวันนี้แม่ร้องไห้บ่อยมาก เค้าพอจะรับรู้ว่าป๋ากำลังไม่สบายหนัก แม่ร้องไห้พูดกับผมว่า “สงสารป๋านะ” แล้วก็พยายามไปยิ้มแย้มหยอกเล่นกับป๋า ป๋าเองเห็นแม่ตลกก็หัวเราะทุกครั้ง และยิ้มอย่างมีความสุขเวลาที่แม่ร้องเพลงให้ป๋าฟัง

เรื่องราวของป๋าทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้ ผมหวังว่ามันจะทำให้คนที่อ่านเห็นถึงความสำคัญความยิ่งใหญ่กับการบริจาคเพื่อวิจัยยารักษามะเร็งครั้งนี้

อยากให้เรื่องราวของป๋าสามารถช่วยให้ยอดบริจาคไปถึงเป้าหมายของคณะแพทย์ทีมวิจัย เพื่อทำให้แพทย์ไทยสามารถผลิตยารักษามะเร็งได้สำเร็จและทำให้มีราคาถูกที่ทุกคนสามารถเอื้อมถึงและได้รับการรักษา

และไม่ว่ายอดจะเพิ่มมากี่บาทก็ตาม แต่มันจะเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่สุดท้ายที่ป๋าพอจะทำเพื่อคนไทยอีกหลายล้านคนในวันข้างหน้าได้

ขอบคุณทุกคนที่ช่วยแชร์ ช่วยบริจาคทุกบาททุกสตางค์ของการวิจัยในครั้งนี้

และถ้ายานี้สำเร็จ “มันจะเป็นยาของคนไทยทุกคนครับ”

 

http://www.komchadluek.net/news/scoop/348042?qx
อ่านรายละเอียดของการวิจัยยารักษาโรคมะเร็งได้ที่ลิ้งค์ด้านบน

CU Cancer Immunotherapy Fund
เพจอย่างเป็นทางการของกองทุนเพื่อการวิจัย

#ป๋าผู้มีจิตใจแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
#เป็นความภูมิใจสูงสุดของชีวิตที่เกิดมาเป็นลูกป๋า

23 ตุลาคม 2561