11 หนังเกย์ที่จบแบบแฮปปี้ๆๆ น่าดูชม
1) Beautiful Thing 1996 รักแห่งลอนดอน
วันที่ออกฉาย: 21 มิถุนายน 2539 (สหราชอาณาจักร)
ผู้กำกับ: เฮ็ตตี้ แม็กโดนัลด์
ประพันธ์ดนตรีโดย: จอห์น อัลท์แมน
2) Shelter 2007
ความรักคือที่พักใจที่ดีที่สุด
วันที่ออกฉาย: 21 มีนาคม 2551 (อเมริกา)
ผู้กำกับ: โจน่าห์ มาร์โกวิตซ์
ประพันธ์ดนตรีโดย: ปีเตอร์ โรบินสัน
บทภาพยนตร์: โจน่าห์ มาร์โกวิตซ์
รางวัลที่ได้รับ: แกลด มีเดีย อวอร์ด สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
3) The Way He Looks
วันที่ออกฉาย: 10 เมษายน 2557 (บราซิล)
ผู้กำกับ: ดาเนียล รีเบโร
บ็อกซ์ออฟฟิศ: 1.2 ล้าน USD
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: Grande Prêmio do Cinema Brasileiro for Best Film,เพิ่มเติม
รางวัลที่ได้รับ: Teddy Award for Best Feature Film
The Way He Looks บอกเล่าเรื่องราวของ Leonardo เด็กนักเรียนตาบอดที่มีเพื่อนสนิทที่สุดในชั้นเรียนและน่าจะรู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่ยังเด็กชื่อ Giovana โดยนอกจากหน้าที่เพื่อนสนิทแล้ว Giovana ยังเป็นเสมือนผู้พิทักษ์ให้กับ Leo ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกรังแก (Bullying) จากเพื่อนร่วมห้องก๊วนเฮี้ยว และเป็นผู้ที่คอย "นำทาง (Guiding)" พา Leo กลับบ้านอย่างปลอดภัยหลังเลิกเรียน
แต่แล้วความสัมพันธ์ระหว่าง Leo และ Giovana ก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อมี Gabriel นักเรียนชายเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากเมืองอื่นเข้ามาร่วมเรียนกับพวกเขาในห้องนี้ด้วย เนื่องเพราะลึกๆ แล้ว Gabriel เองก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของห้อง (เพราะเป็นนักเรียนใหม่ ไม่สนิทกับใคร) โชคชะตาจึงผลักดันให้ Gabriel ต้องมารู้จักกับ Leo และ Giovana และรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทในที่สุด
วันหนึ่ง ในวิชากรีกโบราณ (ในฉบับหนังยาวเหมือนจะเป็นวิชาโรมันศึกษา) อาจารย์ได้สั่งให้นักเรียนในห้องต้องทำรายงานกันเป็นคู่ แน่นอนว่า Leo และ Giovana เลือกจับคู่กันโดยไม่ต้องลังเล หากแต่อาจารย์มีกฏที่แจ้งเพิ่มเติมอีกนิดว่า สำหรับรายงานวิชานี้ อาจารย์ขอให้จับคู่กันแบบ ชายคู่กับชาย และหญิงคู่กับหญิง เพราะชายต้องทำรายงานเรื่องนักรบสปาตั้น ส่วนหญิงนั้นต้องทำรายงานอีกเรื่องที่ควรจะคู่กับผู้หญิงด้วยกันมากกว่า เพราะเหตุนี้ Leo จึงต้องกระเด็นกระดอนไปคู่กับ Gabriel โดยปริยาย
เหตุเพราะมีโอกาสทำงานด้วยกัน และ Giovana เองก็ต้องไปทำงานกับคู่ของตัวเองอยู่บ่อยๆ Gabriel จึงอาสาว่าหลังจากนี้เขาจะพา Leo ไปที่บ้านเอง Giovana จะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงและต้องเดินอ้อมบ้านตัวเองเพื่อมาส่ง Leo แน่นอนว่า Giovana ไม่ได้เห็นว่ากิจกรรมนั้นเป็นภาระแต่ประการใด เธอจึงปฏิเสธ Gabriel ไป แต่ Leo ก็ขัดขืดและยืนยันว่า Gabriel ไปส่งคนเดียวได้จริงๆ ไม่ต้องเดินไปกันทั้งสามคนเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ได้ และ Giovana เองก็มีรายงานให้ต้องทำด้วย Giovana จึงตกลงใจและปล่อยให้ Gabriel พา Leo กลับไปส่งตามสมควร
มีอุปสรรค์มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการต้องมาจูงคนตาบอดกลับบ้านครั้งแรก หรือการที่จะต้องเรียนรู้และปรับทัศนคติของตนให้เข้ากับเพื่อนผู้พิการทางสายตาอย่าง Leo ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น Gabriel เองก็พยายามอย่างเต็มใจ อาจมีบ้างที่ลืมหลุดพูดถึงเรื่องการมองเห็นหรือการได้ดูนั่นโน่นนี่อยู่บ่อยๆ และต้องปรับตัวในเรื่องของการเดินจูงคนตาบอดที่เขาได้เรียนรู้จาก Leo ว่าเขาต้องหัดใส่ใจรายละเอียดในการบอกทางให้มากกว่านี้ หรือจะเป็นเรื่องของการหัดเรียนรู้ภาษาเบรลล์เพื่อประโยชน์ของการทำรายงาน ทั้งหมดนี้แม้จะดูเป็นภาระ แต่ Gabriel เองก็สนุกที่จะได้เรียนรู้ไปกับ Leo ในขณะที่ Leo เองก็สนุกที่ได้ชี้แนะและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จาก Gabriel ไม่ว่าจะเป็นการได้เข้าโรงหนังเป็นครั้งแรก (ที่ต้องคอยให้ Gabriel เล่าให้ฟังตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ได้สัมผัสโลกแห่งหนังที่มีเสียงต่างๆ นาๆ อันน่าตื่นเต้นเร้าใจ) ไปจนถึงการได้หัดปลีกตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซนเช่นเรื่องการฟังเพลงที่แต่เดิมเคยชอบฟังแต่เพลงคลาสสิคเพราะคุณยายเคย "ชี้นำ" ว่าเราควรเริ่มจากการฟังเพลงคลาสสิคให้เป็นก่อนจึงจะสามารถสัมผัสถึงสุนทรีย์ของเพลงประเภทอื่นได้ (แต่ Giovana บอกว่า Leo นั้นกลับเริ่มมากับเพลงคลาสสิค แล้วก็ติดเหง็กอยู่กับเพลงคลาสสิคเลย ซึ่งน่าเบื่อจะตาย) เขาก็ได้ Gabriel มาเปิดเพลงของ Belle & Sebastian อย่างเพลง There's Too Much Love ให้ฟังเพื่อเปิดโลกใหม่ ทั้งหมดนี้ ทำให้ Leo และ Gabriel มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้กันและกัน เพื่อประสิทธิผลของการทำงานและความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเขาทั้งสองคน
Leo มีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นมาก เขามีแม่ที่คอยทำตัวเป็น "ผู้ชี้ทาง" เพราะความรักลูกที่มากจนเกินไป และมีพ่อที่ "พยายาม" ทำตัวเป็น "คนที่เดินเคียงข้างและเรียนรู้ไปกับเขา" และเขายังมีคุณยายที่ "เป็นผู้ฟังที่ดี" และมี Giovana ที่เป็นเพื่อนที่ "คอยนำทาง" คล้ายๆ กับแม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Gabriel กลับเป็นคนนอกครอบครัวและเป็นเพื่อนคนแรกของเขาที่สามารถ "เดินเคียงข้างและพร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับเขา" ได้โดยไม่จำเป็นต้องฝืน "พยายาม"
เวลาผ่านไป Giovana เริ่มรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองต่อ Leo นั้นด้อยค่าลงเรื่อยๆ เพราะ Leo เหมือนจะสนิทกับ Gabriel มากกว่า และเริ่มพูดถึง Gabriel บ่อยขึ้น แน่นอนว่า Giovana นั้นอยากเป็นคนสำคัญของ Leo มาเสมอจนเธอเริ่มสับสนว่า "คนสำคัญ" ที่ว่านั้นคือในแบบไหนกันแน่ แต่สำหรับ Leo แล้ว Giovana คือเพื่อนที่เขารักและไว้ใจที่สุด ต่างกับ Gabriel ที่เขาเริ่มรู้สึกว่านี่คือ "ส่วนเติมเต็ม" ของสิ่งที่เขา "ขาดหายไป"
Gabriel เป็นเด็กใหม่หน้าตาดีมีเสน่ห์ ไม่แปลกที่จะต้องมีเพื่อนร่วมชั้นมาแอบชอบ (หรือแม้แต่ Giovana เองก็หมือนจะสับสนในความรู้สึกต่อ Gabriel ด้วยเหมือนกัน) และหลังๆ มานี้ บ่อยครั้งที่ Leo ได้ยินสาวๆ เข้ามาถามว่า Gabriel เคยพูดถึงพวกตนบ้างไหม เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ...ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนแต่อย่างใด
ในขณะที Gabriel นั้นเริ่มชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อ Leo แล้ว แต่เพราะเขาเป็นคนปกติที่มี "ตา" ที่สามารถ "มองเห็น" ได้ และรับรู้ความผิดชอบชั่วดีจากการประมวณผลผ่านทาง "สายตา" เป็นสำคัญ (อย่าเถียง พวกเราคนปกติที่มีตาไว้มองเห็น รับรู้ความผิดชอบชั่วดีได้จากการมองเห็นมากกว่าประสาทสัมผัสด้านอื่นจริงๆ) เขาเริ่มรู้ตัวว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้ Leo นั้นมันเป็นสิ่งผิด เป็นสิ่งไม่สมควร และเป็นสิ่งที่กำลังทำร้ายเพื่อนสนิทเขาอีกคน นั่นก็คือ Giovana ที่เขามองออกว่าแอบมีใจให้กับ Leo นั่นเอง
เรื่องราวการเรียนรู้ตัวตนของหนึ่งเด็กชายตาบอดโดยกำเนิด (Leo) และเด็กชายพลัดถิ่นที่มาใหม่ (Gabriel) และหนึ่งเด็กหญิงผู้คอยนำทาง (Giovana) พร้อมกับครอบครัวของเด็กพิเศษที่ต้องหัดเรียนรู้ว่าไม่มีใครอยากจะอยู่ในกรงที่ครอบไว้ด้วยความรักไปตลอด (ครอบครัวของ Leo) จึงเริ่มต้นขึ้น และนั่นดึงดูดให้คนดูตามติดกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างจริงจัง จริงใจ และสวยงาม ใสบริสุทธิ์บนโทนเรื่องที่แสนจะหม่นหมองผ่านสายตาของตัวละครหลักที่บอดมืดสนิทนี้ได้อย่างไม่อยากจะละสายตาไปไหนตลอดเวลา 96 นาที จนพาไปสู่บทสรุปของคำตอบที่เป็นประเด็นคำถามในตอนต้นว่า หากโลกใบนี้มืดดับลง สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดคืออะไร ระหว่างใครสักคนที่จะเป็น "คนที่คอยนำทาง" หรือใครสักคนที่ยินดีจะ "เดินเคียงข้างและเรียนรู้โลกใหม่ที่มืดมนนี้ไปพร้อมๆ กับคุณ"
อกจากนี้ The Way He Looks ยังตั้งคำถามต่อกับสังคมอีกว่าหากคนไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างที่สายตาคุณมองเห็นในตอนนี้ "ความรัก" ของคุณ จะยังคงมีข้อกำหนดทางเพศสภาพมาเป็นตัวกำหนดอยู่หรือไม่ ในเมื่อ "สายตา" เดียวที่คุณมีให้ใช้ได้คือ "หัวใจ" และเป็น "หัวใจ" ที่บริสุทธิ์จากการที่ไม่เคยเห็นสิ่งที่ถูกสั่งสอนผ่านการมองเห็นของ "สายตา" จริงๆ เลยสักนิดเดียว
าวมาก แต่ขนาดยาวแบบนี้ก็ต้องบอกว่าถ่ายทอดความรู้สึกยังไม่หมดเลย แต่กลัวหากพูดมากไปกว่านี้จะเป็นการสปอยเรื่องไปหมด (ซึ่งเรื่องก็ไม่มีอะไรให้สปอยหรอก เพราะมันใส ซื่อ บริสุทธิ์มากจริงๆ) เอาเป็นว่าใครมีโอกาสก็จัดไป ลองดูว่าทำไม The Way He Looks ถึงได้คะแนนจาก IMDB (เก็บผลโหวตจากนักดูหนังทั่วโลก) ไปที่ 8.1 คะแนนเต็ม 10 และได้คะแนนความสดจากนักวิจารณ์หนังทั่วโลกจากการรวมคะแนนของ Rotten Tomatoes ไป 91% แถมยังเป็นหนังที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวกู้หน้าให้เทศกาลหนังกรุง Berlin หลังจากป่นปี้มาหลายปีอีกด้วยจากการที่มันได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานไป (และจากอีกหลายๆ สถาบันรางวัลที่มันได้รับ) หนังเรื่องนี้ฉายเฉพาะในเครือ Apex เท่านั้นนะครับ ขอบคุณน้องทิพด้วย หากท่านไม่ชวนเราไปเมื่อวานนี้ The Way He Looks ก็จะเป็นหนังนอกสายตาที่เราคงไม่คิดว่าจะไปดูในโรงภาพยนตร์เลย และเราคงพลาดหนังขึ้นหิ้งชั้นสูงในความประทับใจเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน
ส่วนตัวแล้วรู้สึกโชคดีที่ถูกปลูกฝังมาให้รักการดูหนัง (ไม่ว่าจะหนังอะไรก็ดูได้หมด ทั้งในและนอกกระแส) ฟังเพลง และอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก เลยมีโอกาสได้เห็นว่าสื่อเหล่านี้มีทั้งที่เป็น Guiding และ Walking together เหมือนกัน และมีหนังหลายๆ เรื่อง เพลงหลายๆ เพลง และหนังสือหลายๆ เล่มที่เรารู้สึกว่าเราโตมากับมัน และมีความสุขทุกครั้งที่ได้มีพวกมันเป็นเพื่อนในส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิต และแน่นอนว่า The Way He Looks ก็กลายมาเป็นเพื่อนจากหนังคนล่าสุดที่เราจะเอาไว้ประดับห้องโฮมไว้คอยเรียกกลับมารวมรุ่นกันอีกครั้งในทุกครั้งที่คิดถึงอย่างแน่นอน
เห็นแฟนเมดเอ็มวีตัวนี้น่าสนใจมาก เพลง Say Something ฉบับนี้ก็เพราะดี เอามาเข้ากับ MV ได้ดีด้วย และที่สำคัญเข้ากับตัวหนังมากๆ ด้วยครับ แต่....ปล.ระวังจะโดนฉากสุดท้ายของ MV หลอกหากยังไม่ได้ดูตัวหนังแบบเต็มๆ นะคร้าบบบ ดังนั้นอย่าเพิ่งแอนตี้มันก่อน
4) The Birdcage 1996 เบิร์ดเคจ คุณนายหัวใจเต๊าะแต๊ะ
วันที่ออกฉาย: 8 มีนาคม 2539 (อเมริกา)
ผู้กำกับ: ไมค์ นิโคลส์
รางวัลที่ได้รับ: รางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ สาขาคัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยม ในด้านภาพยนตร์
เรื่องโดย: Jean Poiret, Édouard Molinaro, Francis Veber
บทภาพยนตร์: อีเลน เมย์, Jean Poiret, Édouard Molinaro, Francis Veber, Marcello Danon
5) Maurice 1987
วันที่ออกฉาย: 18 กันยายน 2530 (อเมริกา)
ผู้กำกับ: เจมส์ ไอวอรี่
เรื่องโดย: อี. เอ็ม. ฟอร์สเตอร์
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: รางวัลออสการ์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, เพิ่มเติม
รางวัลที่ได้รับ: Volpi Cup for Best Actor, Golden Osella for Best Score, Silver Lion
6) Boys (Jongens)
วันที่ออกฉาย: 9 กุมภาพันธ์ 2557 (เนเธอร์แลนด์)
ผู้กำกับ: มิสช่า แคมป์
ประพันธ์ดนตรีโดย: Rutger Reinders
ภาษา: ภาษาดัตช์
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: Golden Calf for Best Actor
7) Latter Days
8) Touch of Pink
วันที่ออกฉาย: 16 กรกฎาคม 2547 (อเมริกา)
ผู้กำกับ: เอียน อิกบาล รอชิด
ประพันธ์ดนตรีโดย: แอนดรูว์ ล็อคคิงตัน
บ็อกซ์ออฟฟิศ: 581,055 USD
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: Genie Award for Best Performance by an Actor in a Supporting Role
9) Jeffrey 1995
10) Big Eden 2000
11) Love, Simon 2018
อีเมลลับฉบับ, ไซมอน
ถูกนำมาฉายครั้งแรกในงานเทศกาลภาพยนตร์ Mardi Gras Film Festival ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ก่อนจะถูกฉายในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในวันที่16 มีนาคม พ.ศ. 2561 โดย ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ และ นำเข้ามาฉายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับความรักของเพศที่สามในช่วงวัยรุ่นเรื่องแรกที่บริษัทภาพยนตร์ระดับเดอะบิ๊กซิกซ์ของฮอลลีวู้ดทำ
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า ไซมอน สเปียร์ ที่ต้องปิดบังผู้เองมาตลอดว่าเขาเป็นเกย์เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเขาเป็นปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้มีโอกาสเจอบุคคลนิรนามทางออนไลน์ในโรงเรียนเดียวกันกับเขาซึ่งประกาศตัวว่าเป็นเกย์เหมือนกัน ซึ่งไซมอนก็ได้ตกหลุมรักกับบุคคลนิรนามทางออนไลน์คนนั้น