ผู้ชายข้ามเพศ กับการใช้ฮอร์โมน เปลี่ยนแปลงจากหญิงสู่ชาย กว่าจะข้ามเพศไม่ใช่เรื่องง่าย!!!
สวัสดีครับ กลับมาอีกแล้ว ครั้งนี้เป็นรีวิวการข้ามเพศของผมเอง ใช่แล้ว! ผมเป็นผู้หญิงมาก่อนครับ และพร้อมแล้วที่จะก้าวข้ามเพศเพื่อเข้าสู่ความเป็นชายโดยสมบูรณ์ และตอนนี้ผมก้าวข้ามเพศไปได้ 50 % แล้วครับ
ผู้ชายข้ามเพศคืออะไร ???
ทรานส์แมน (อังกฤษ: transman, transsexual male, transmale) ภาษาไทย "ผู้ชายข้ามเพศ" คือคนที่แปลงเพศหรือคนข้ามเพศจากหญิงเป็นชาย หรือเรียกอีกอย่างว่า female-to-male (FTM, F2M) หมายถึง คนที่มีเพศกำเนิดเป็นหญิง กฎหมายจึงระบุให้เป็นเพศหญิง แต่เนื่องจากเขารับรู้อัตลักษณ์ทางเพศว่าตนเป็นชาย จึงมีความต้องการที่จะเปลี่ยนเพศเพื่อให้สอดคล้องกับจิตใจที่เป็นชาย
ผู้ชายข้ามเพศ กับ ทอม ต่างกันอย่างไร ???
ผู้ชายข้ามเพศ (Transsexual male) กับ ทอม (Butch) มีความหมายที่ต่างกัน ข้อแตกต่างก็คือ ผู้ที่เป็นทอม (Butch) นั้นนิยามตนเองว่าเป็นหญิงและยังมีความพึงพอใจที่จะเป็นเพศหญิง พึงพอใจกับร่างกายของตน และไม่รู้สึกว่าตนจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างกายตัวเอง แต่ผู้ชายข้ามเพศ (Transsexual male) นั้นรับรู้ว่าตนเป็นชายและตั้งใจที่จะเปลี่ยนสภาพทางร่างกายเพื่อให้ตรงกับจิตใจของตน
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีครับ
มันไม่ใช่แค่ อยากเป็นผู้ชาย แต่ผมเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชาย
ขอกล่าวถึงชีวิตตัวเองในตอนแรกเริ่มก่อนข้ามเพศนะครับ คือตอนเด็กๆผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายครับ การเล่น การแต่งตัว แทบจะทุกอย่าง กิจกรรมหญิงๆนี่ไม่เอาเลยครับ (แต่ตอนเด็กเลยโดนให้เป็นนางงามแห่เทียนพรรษา , เชียร์ลีดเดอร์ และเต้นประกอบเพลงอยู่นะ) ผมตัดผมสั้นตั้งแต่อนุบาล 2 และไม่เคยไว้ยาวอีกเลย (ยาวสุดแค่ประบ่า)
จริงๆแล้วเด็กขนาดนั้นเราก็ยังไม่รู้เพศอะไรหรอกครับ เราก็ใช้ชีวิตเป็นเด็กคนนึงมาตลอด แต่การเล่น การใช้ชีวิตจะค่อนข้างไปทางเด็กผู้ชายซะส่วนใหญ่
ข้ามมาตอน ป.3 มีความรู้สึกพิเศษกับรุ่นพี่ผู้หญิงคนนึงที่อยู่ป.6 จะเรียกว่ารักครั้งแรกก็ได้ แอบชอบพี่เขา พี่เขาสวย หน้าเหมือนพี่อั้ม พัชราภา (ตอนนั้นพี่อั้มเป็นนางเอกเรื่องแม่นาค) แต่ไม่ได้ไปจีบหรืออะไรนะ นั่นคือผู้หญิงคนแรกที่ชอบ
ตอนอยู่ป.3 ที่มีความรู้สึกเริ่มชอบผู้หญิง
จริงๆก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชายอยู่นะ ตอนนั้นอยู่ป.6แล้ว เคยแอบชอบเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิง ตอนนั้นรู้แล้วว่าลักษณะแบบเราเนี่ย เรียกว่าทอม แต่เพื่อนคนนั้นบอกว่าเราไม่ชอบทอม ไม่อยากมีเพื่อนเป็นทอม ถ้าอยากเป็นเพื่อนกับเราต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วตอนนั้นมีรุ่นน้องผู้ชายมาจีบอยู่ เราเลยตกลงเป็นแฟนกับเด็กผู้ชายคนนั้น นั่นคือแฟนคนแรก(แบบไม่เต็มใจ) คบกันไม่นานนะ เพราะเด็กผู้ชายก็จับได้ว่าเราเป็นทอม เลยเลิกกัน 55555
ตอนอยู่ป.6
ด้วยเหตุการณ์นี้เราเลยคิดว่าเราแปลกรึป่าว ที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เราไม่กล้าจีบใคร เรารู้สึกเหมือนตัวประหลาด จนมาช่วงมัธยมต้น วันนึงเราก็ชอบเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่เข้ามาใหม่ มีคนแซว และผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าชอบเรากลับ คือเซอร์ไพรส์มาก และนั่นคือแฟนคนแรก(แบบเต็มใจ)
รูปตอนม.ต้น
อย่างที่บอก เรารู้ว่าลักษณะอย่างเรา คือผมสั้น ทำตัวเหมือนผู้ชาย ชอบผู้หญิง นี่คือทอม มันเหมือนคำจำกัดความของเพศที่เราเป็น ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ เรารู้สึกมาตลอดว่าถ้าเลือกเกิดได้ คงเลือกเกิดเป็นผู้ชาย
สมัยเรียนกระโปรงจะใส่เฉพาะตอนอยู่ในโรงเรียน พอออกนอกโรงเรียนปุ๊บเปลี่ยนเป็นกางเกงทันที
วันเวลาผ่านไป เราใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นทอมมาโดยตลอด แต่ก็คิดมาตลอดว่าจะต้องเป็นผู้ชายแบบจริงๆให้ได้ และเนื่องจากรู้ว่ามีการผ่าตัดแปลงเพศได้บนโลกใบนี้ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเก็บเงินและแปลงเพศ
ตอนนั้นเท่าที่ทราบคือมีการผ่าตัดแปลงเพศ แต่อวัยวะเพศจะไม่เหมือนธรรมชาติ 100% จะเป็นการแข็งตัวตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นก็ตั้งใจว่า ต่อให้แข็งตัวตลอดเวลา ผมก็เลือกแล้วว่าจะทำ
ชีวิตผมเหมือนมีความสุขดี แต่ในใจลึกๆแล้ว ไม่เลย ไม่เคยมีความสุข ไม่ชอบโดนตราหน้าว่าทอมด้วยซ้ำ เถียงตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ทอม แต่ก็จะโดนถามกลับมาเสมอว่า ไม่ใช่ทอมแล้วจะเรียกว่าอะไร ก็คุณเป็นทอมอ่ะ
นั่นสิครับ... ผมเป็นทอม และก็จะเกิดคำถามในใจตัวเองเสมอว่า เราจะทำยังไง เราถึงจะเป็นผู้ชายได้มากที่สุด
มาถึงช่วงมหาลัยครับ ก็เริ่มศึกษาจนรู้ว่าจะมีการฉีดยาตัวนึงที่จะเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ภายนอกของเราให้เปลี่ยนเป็นผู้ชายได้ นั่นคือยาฮอร์โมนชาย (Testosterone) ปรึกษาเพื่อนที่เป็นคนข้ามเพศเหมือนกัน เขาก็บอกว่าตัวที่เราเห็นเป็นแบบฉีด ยังไม่มีในไทย เราก็เลยหาเป็นแบบยาทาน ซึ่งไม่ได้ผลอะไร สิ่งที่ได้คือ สิว และหน้ามัน เท่านั้น
ยาแบบนี้ ผมเห็นตามเฟสมีขาย ซึ่งเป็นยาที่บอกว่าเป็นยาเพิ่มความแมน และทำให้หน้าอกเล็ก ขอบอกว่า “ไม่จริง” เลยนะครับ อย่าไปเชื่อคำโฆษณาเด็ดขาด กินไปก็ทำลายตับป่าวๆ ไม่ได้มีผลอะไร เสียทั้งเงิน ทั้งลำบากตับ แนะนำว่าอย่าลองเลยครับ
ผมใช้เวลาหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ แต่ก็มีเพื่อนข้ามเพศในกลุ่มทักมาหลังไมค์ บอกว่าหายาฉีดให้ได้ แต่ต้องฉีดเอง หรือจะหาคลินิกแถวบ้านฉีดให้ก็ได้ แต่จะยากหน่อย เพราะไม่มีใบรับรองจากแพทย์ว่าให้เราฉีดยาที่อื่น คนอื่นเขาก็ฉีดกันเอง อย่าง A ก็ฉีดเอง แต่ไม่บอกใคร ตัวเขาเองก็ฉีด มันไม่เป็นอะไร ไม่อันตรายเหมือนที่ใครเขาพูดกัน
A คือเพื่อนข้ามเพศของผมที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว ผมเคยถามเพื่อนคนนี้เรื่องที่เขาอัตลักษณ์เปลี่ยนไป แต่เพื่อนไม่บอก เราเลยเชื่อสนิทว่าเขาฉีดเอง และคิดว่า เราก็คงฉีดได้ไม่เป็นไร (ซึ่งห้ามทำตามเด็ดขาดนะครับ ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตได้!) ผมนั่งรถไปหาคนที่หายาให้ สมมติชื่อ B เขาสอนผมฉีดยาด้วยตัวเอง (ขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อนครับ ต้องมีการเทสเลือดด้วย ถ้ามีเลือดติดขึ้นมาคือฉีดไม่ได้อันตราย) และบอกให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะได้ผลเร็วๆ หลังจากครบ 1 เดือนแล้ว ลดเหลือ 2 สัปดาห์ครั้ง (ซึ่งผมมารู้ทีหลังอีกมา โดสสัปดาห์ละครั้งนี่คืออัดเยอะมาก อันตรายมากครับ เสี่ยงมาก)
ผมฉีดเองที่ขา ความรู้สึกคือปวดไปทั้งขา เพราะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หลังจากฉีดบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยปวดแล้ว ผลลัพธ์หลังจากฉีดยาเอง คือ เดือนแรกก็เสียงเปลี่ยนเลยครับ หน้ามัน และก็กินเก่งขึ้นแบบมากๆ (นั่นเป็นส่วนนึงของการเริ่มอ้วนจนปัจจุบันครับ)
ฉีดไปเรื่อยๆ ผมมีปัญหาเรื่องสิว ตอนแรกขึ้นที่หลัง จากนั้นมาที่หัว และก็ขึ้นใบหน้า (หนักที่สุด) เละทั้งหน้าเลยครับ (คาดว่าผลมาจากการฉีดฮอร์โมนและใช้ครีมในเน็ต) แน่นอนครับว่า 2 สิ่งปะทะกัน มันแย่มากๆ ไปเรียนเพื่อนก็ล้อ มันเละซะจนเพื่อนไม่อยากกินข้าวด้วย เพราะสิวเราเป็นหนองทั้งหน้า นั่งๆอยู่สิวแตก กระเด็นบ้าง เพื่อนก็ไม่อยากเข้าใกล้ ตอนนั้นเป็นทุกข์มากครับ คนข้างบ้านก็ทักว่าเป็นโรคอะไร รู้สึกแย่มากๆ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย ไม่อยากออกไปเจอหน้าใครทั้งนั้น
รูปตอนเป็นสิวครับ
จากนั้นผมก็ลองไปหาหมอที่โรงพยาบาลผิวหนังชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนตรวจหมอก็ตกใจ เพราะเราเป็นทั้งตัว ต้องตามอาจารย์หมออีกท่านมาวิเคราะห์ สรุปคือได้แป้งน้ำ ครีม มาทา ซึ่งผมไม่รับยาทาน เพราะว่าเราฉีดฮอร์โมนอยู่ กลัวตับทำงานหนักมากเกินไป สุดท้ายแล้วไม่หาย ยิ่งแย่ลง เลยลองหยุดฉีดยาฮอร์โมน และเลิกใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ปรากฏว่าลดลง (ตอนนี้หายสนิทแล้ว เหลือแค่รอย เดี๋ยวไว้ว่างๆจะเขียนรีวิวรักษาสิวให้อ่านกันนะครับ)
จากที่พักฟื้นแล้ว หน้าเริ่มดีขึ้น ก็ไม่กล้าฉีดยาเองละ เลยลองตัดสินใจเข้าไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง (ที่ผมรู้ว่าที่นี่มีการแปลงเพศเพราะว่าข่าวเรื่องแปลงเพศที่นี่ค่อนข้างมีชื่อ+กับเพื่อนข้ามเพศในกลุ่มคนนึงบอกว่าที่นี่มียาแบบฉีดด้วย)
เริ่มดีขึ้นมาแล้วครับ สิวลดลงไปเยอะมาก
ผมโทรไปนัดคิว ซึ่งไม่ได้ผลครับ ทางโรงพยาบาลบอกว่า นัดไม่ได้ ต้อง Walk in เข้ามา แต่ให้เข้ามาวันพุธ เพราะหมอฮอร์โมนและจิตแพทย์เข้าในวันนั้น ให้งดน้ำงดอาหารมาด้วยเพราะจะมีตรวจเลือด
วันนั้นก็เลยไปแต่เช้า พูดคุยกับหมอฮอร์โมนก่อนครับ หมอเป็นผู้ชาย ไม่ได้คุยอะไรมากมาย เขาก็ให้เราตรวจเลือด เพื่อดูค่าตับ ไขมันอะไรทำนองนั้นครับ และก็มีการตรวจมดลูกเพราะเคยผ่านการเทคยามาก่อน (การฉีดฮอร์โมนจะทำให้ไม่มีประจำเดือน จึงต้องตรวจอย่างละเอียด)
ในขณะที่รอผลเลือด เราขึ้นไปปรึกษาจิตแพทย์ เป็นหมอผู้หญิงครับ ก็ทำข้อสอบ มีทั้งข้อกา และข้อเขียน (ขอไม่บอกแนวข้อสอบแล้วกันนะครับ) ทำข้อสอบเสร็จก็มาคุยกับหมอต่อ หมอน่ารักมากครับ คุยแล้วสบายใจ เหมือนรู้จักกันมากนาน
สรุปคือผมผ่านหมดครับ ได้รับการฉีดยาได้ แต่ผลเลือด หมอบอกว่าไขมันสูงหน่อย น่าจะเกิดจากการเทคยาฮอร์โมน เพราะยาฮอร์โมนจะทำให้ค่าไขมันในเลือดสูงขึ้น วิธีจะทำให้ค่าไขมันไม่สูง หรือคงที่ คือ การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
ในวันนี้ผมเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ค่าตรวจกับแพทย์ฮอร์โมน 500 บาท
- ค่าตรวจกับจิตแพทย์ 5000 บาท
- ค่าตรวจเลือดประมาณ 2,xxx กว่าๆ
- ค่าตรวจมดลูกประมาณ 2,xxx กว่าๆ
- ค่าฉีดยาฮอร์โมน 982 บาท (ถ้าจำไม่ผิด)
- ค่าบริการโรงพยาบาล 1xx กว่าๆ
รวมแล้วประมาณ 6,xxx กว่าบาท เป็นค่าใช้จ่ายในครั้งแรก
ผมได้รับโดสยาอยู่ที่ 2 สัปดาห์ครั้ง มีนัดตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือน และตรวจมดลูกทุกๆ 6 เดือน ค่าใช้จ่ายก็วนลูปไปครับ
ผมฉีดยาอยู่ที่นี่ประมาณ 6 เดือน ก็รู้ว่ามีอีก 2 ที่ ที่รับฉีดยาเหมือนกัน เป็นโรงพยาบาลรัฐ 1 ที่ และคลินิกของคนข้ามเพศโดยเฉพาะอีก 1 ที่ ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่ามากกกกกก แต่ใช้ระยะเวลาในการรอคิวรับยานานกว่า แต่ผมคำนวณดูแล้ว การฉีดฮอร์โมน เป็นการรับยาระยะยาว ซึ่งเราต้องฉีดไปตลอดชีวิต! ซึ่งถ้าประหยัดค่าใช้จ่ายลง ก็น่าจะโอเคกว่า
สำหรับโรงพยาบาลรัฐ ต้องไปแต่เช้าตรู่ และต้องใช้คิวร่วมกันคนไข้ที่เข้ามาเพื่อรักษาโรค ผมเลยเลือกคลินิกเพราะสะดวกสบายขึ้นมาหน่อยในเรื่องของการรอคิว ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก แน่นอนครับ เราย้ายสถานที่ เราต้องทำการตรวจร่างกายใหม่
ในวันนี้ผมเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ค่าตรวจเลือดชุดใหญ่ประมาณ 1,xxx กว่าๆ
- ค่าตรวจเลือด ฟรี (ใช้สิทธิได้ปีละ 1-2 ครั้ง)
- ค่าฉีดยาฮอร์โมน 80 บาท
- ค่าบริการโรงพยาบาล 100
รวมแล้วประมาณ 1,xxx กว่าบาท เกือบ 2 พัน เป็นค่าใช้จ่ายในครั้งแรก (ถูกกว่าที่แรกตั้งเยอะ)
ผมได้รับโดสยาอยู่ที่ 2 สัปดาห์ครั้ง มีนัดตรวจเลือดชุดเล็กทุกๆ 3 เดือน และชุดใหญ่ทุกๆ 6 เดือน (ยาที่นี่เป็นอีกยี่ห้อ ไม่ได้ยี่ห้อเดียวกับที่แรกหรือที่ฉีดเองครับ)
ค่าใช้จ่ายในการตวจเลือดชุดเล็ก ประมาณไม่ถึงพันครับ
ผมฉีดยาอยู่ที่นี่นานอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่ได้ออกกำลังกาย และเราได้รับยาเรื่อย ไขมันก็เพิ่มขึ้นครับ ช่วงแรกๆสูง แต่ยังไม่เกินค่า และหลังๆนี่คือสูงเกินค่า และอยุ่ในระดับที่อันตราย จนต้องหยุดใช้ยาฮอร์โมน
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมหยุดใช้ยาฮอรโมนไปปีกว่าแล้วครับ หลังจากที่หยุดยา คุณหมอมีการนัดให้เข้าไปตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือนครับ เพื่อดูค่าไขมันในเลือด ซึ่งผลก็ยังต้องงดใช้ยาไปก่อน
หลังหยุดยาฮอร์โมน ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ประจำเดือนยังไม่กลับมา แต่มีอารมณ์แกว่ง และเสียงที่ไล่คอนโทรลยาก
ผมมาลองคิดย้อนดูนะครับ ถ้าผมไม่ได้รับยาภายในการดูแลของแพทย์ คงมีผลเสียต่อร่างกายและชีวิตของตัวเองมากๆ
ผมเจอในเฟสค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฮอร์โมนแบบทาน หรือฉีดที่ไม่ถูกต้อง การโฆษณาที่เกินจริง ว่าจะทำให้หน้าอกเล็กลง เพิ่มความแมน บลาบลา เลยอยากฝากเคสผมไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า ถ้าเราทำโดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของแพทย์ มันอันตรายมากๆ อาจถึงแก่ชีวิตก็ได้นะครับ เป็นโชคดีของผมอีกครั้งนึง
ยังไงก็ตาม ใครที่คิดจะลองใช้ยาฮอร์โมน อยากให้คิดเยอะๆนะครับ มันมีทั้งผลดี ผลเสีย ผลดีมันอาจจะทำให้เรามีในสิ่งที่อยากมี เช่น หนวด เครา น้ำเสียง แต่อย่าลืมครับ ผลดีมันก็มาพร้อมกับผลเสียด้วย ถ้าคิดจะใช้ต้องพร้อมที่จะรับมือกับผลเสียที่จะตามมา แต่ละคนได้เอฟเฟคหลังใช้ยาที่แตกต่างกัน อย่างผม ณ ตอนนี้ มีสิว หน้ามัน ผมร่วง หัวเริ่มล้าน และไขมันในเลือดสูงมากจนอยู่ในระดับอันตราย ซึ่งในอนาคตจะเจออะไรหรือไม่เจออะไรอีกก็ยังไม่รู้นะครับ แต่ส่วนตัวผม ผมพร้อมที่จะรับมือทุกๆอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังจากวันแรกที่ผมตัดสินใจที่จะข้ามเพศ และที่สำคัญถ้าตัดสินใจข้ามเพศแล้ว ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วนะครับ เพราะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ตอนนี้ผมตัดหน้าอกออกแล้ว ฝากเข้าไปอ่านรีวิวกันได้นะครับ
ลิ้งค์กระทู้รีวิว : https://board.postjung.com/1097753.html