ริดสีดวงทวารหนัก โรคที่มักเกิดจากพฤติกรรม
องค์ประกอบหนึ่งของการมีสุขภาพดี คือการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายเป็นประจำทุกวัน โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ 05.00-07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงานขับกากอาหารออกจากร่างกาย แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาขับถ่ายไม่ปกติ เดี๋ยวท้องผูก เดี๋ยวท้องเสีย ต้องออกแรงเบ่งเป็นประจำ... โดยลืมตระหนักไปว่า ปัญหาเล็กๆ เหล่านี้จะสั่งสม เป็นต้นตอของการเกิด “โรคริดสีดวงทวารหนัก” ภัยร้ายที่คุณไม่ควรมองข้าม
โรคริดสีดวงทวารหนัก... ฝันร้ายของคนชอบเบ่ง
โรคริดสีดวงทวารหนัก คือภาวะที่เบาะรอง (Anal Cushion) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยในการขยายตัวของทวารหนักเวลาขับถ่ายและช่วยให้รูทวารหนักปิดสนิทในภาวะปกตินั้น มีการเคลื่อนตัวห้อยลงมาต่ำกว่าตำแหน่งปกติ และมีการโป่งพองไม่ยุบลงเมื่อขับถ่ายอุจจาระเสร็จ จนทำให้มีเลือดออกเมื่อถ่ายอุจจาระหรือมีก้อนยื่นที่ปากทวารหนัก พญ.นรสรา วิทยาพิพัฒน์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลพญาไท 3 บอกว่า แม้โรคนี้จะไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่ส่วนมากเกิดจากแรงกดหรือความดันในช่องท้องหรือช่องปอด ซึ่งแรงนี้เกิดจาก “การเบ่ง” ของคนที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายหรือท้องผูก ที่มักต้องออกเร่งเบ่งมาก นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองก็ทำให้มีแรงดันในช่องปอดได้
ริดสีดวงทวาร..แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ทวารหนัก เป็นอวัยวะส่วนติดต่อมาจากลำไส้ใหญ่ และมาเปิดออกนอกร่างกาย มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ถูกแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยเส้นรอบวงที่เรียกว่า แนวเส้นประสาท (Dentate Line) ส่วนที่อยู่สูงกว่าแนวเส้นประสาท เรียกว่า รูทวารหนัก (Anal canal) จะไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวด มาเลี้ยงที่ผนังของรูทวารหนักปกติ จะมีก้อนเนื้อนูนออกมาเป็นระยะโดยรอบ เรียกว่า เบาะรอง (Cushion) ซึ่งภายในมีกลุ่มเส้นเลือด และกล้ามเนื้อ
โดยริดสีดวงทวารที่เกิดขึ้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ริดสีดวงทวารชนิดภายใน - การออกแรงเบ่งอุจจาระรุนแรง ทำให้เกิดความดันจากการเบ่งมากขึ้น และอุจจาระก้อนใหญ่จะดันให้เบาะรองเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนยื่นออกมานอกทวารหนัก โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามลักษณะการยื่นออกมาของหัวริดสีดวง
- ริดสีดวงทวารชนิดภายนอก - นอกจากริดสีดวงภายในแล้ว...หัวริดสีดวงก็สามารถเกิดขึ้นใต้แนวเส้นประสาท (Dentate Line) หรือบริเวณ “ปากทวารหนัก” ซึ่งจะมีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง เมื่อเบาะรองเลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆ ก็จะดันกลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อของปากทวารให้เลื่อนลงต่ำ และเบียดออกด้านข้างจนกลายเป็นก้อนนูนตรงปากทวารหนัก
ปัจจัยที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนัก มีอะไรบ้าง
- ภาวะท้องผูกเรื้อรัง
- ท้องเสียถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ
- อุปนิสัยเบ่งอุจจาระอย่างมากเพื่อพยายามขับอุจจาระก้อนสุดท้ายให้ออกไป
- อุปนิสัยใช้เวลานั่งถ่ายอุจจาระนาน เช่น อ่านหนังสือขณะถ่ายอุจจาระ
- ชอบใช้ยาสวนอุจจาระ หรือยาระบายพร่ำเพรื่อ
- หญิงตั้งครรภ์ทำให้ถ่ายอุจจาระไม่สะดวก
- ภาวะโรคตับแข็งทำให้เลือดดำไหลเข้าตับไม่ได้ ทำให้เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง
- อายุสูงวัยขึ้นทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยานลงจนทำให้เบาะรองเลื่อนลงมาจนยื่นออกมาจากทวารหนัก
- โดยไม่ทราบสาเหตุพบว่าบุคคลที่มีประวัติในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวารหนัก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าปกติ
นั่งถ่ายนานเพียง 1 ครั้ง... เหมือนเข้าห้องน้ำ 10 ครั้ง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของเราเอง นอกจากการไม่กินอาหารที่มีกากใยจนเป็นเหตุให้ท้องผูกแล้ว การนั่งถ่ายนานๆ อย่างการอ่านหนังสือไปด้วย หรือเล่นโทรศัพท์ระหว่างขับถ่าย ก็มีส่วนทำให้เบาะรองเลื่อนลงมาได้เช่นกัน บางคนขับถ่ายไม่สุด เกิดการเบ่งซ้ำหลายครั้ง หรือบางรายเบ่งมากกว่า 10 ครั้งทั้งที่เข้าห้องน้ำแค่ครั้งเดียว ก็มีค่าเท่ากับเข้าห้องน้ำ 10 ครั้งนั่นเอง นอกจากนี้ยังเกิดเพราะสภาพร่างกาย เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มดลูกขยายใหญ่ขึ้นก็ทำให้ขับถ่ายลำบาก ผู้ป่วยโรคตับแข็งที่เส้นเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพอง หรือเมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสที่เบาะรองเลื่อนจะยื่นออกจากทวารหนักได้เช่นกัน
ชอบกินอาหารเหล่านี้... เสี่ยงเป็นริดสีดวงทวาร
- ดื่มน้ำน้อย: ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 70% หากดื่มน้ำน้อยไป ลำไส้ก็จะไม่มีน้ำที่ช่วยขับของเสียออกมา ทำให้เกิดของเสียสะสม ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าไปในร่างกาย เลือดของเราก็จะสกปรกและข้นหนืด เป็นผลให้เกิดสิว กระ ฝ้า และ โรคริดสีดวง
- ชอบเนื้อสัตว์: เนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีกากใยเหมือนอย่างผักและผลไม้ ทำให้การเคลื่อนไหวทางเดินอาหารเป็นไปอย่างช้ามาก กว่าจะขับถ่ายผ่านลำไส้ออกมาได้ก็เกิดการหมักหมมและสร้างเชื้อโรคไว้มาก คนที่กินเนื้อสัตว์มากจึงมักเป็นโรคท้องผูก
- ดื่มชากาแฟ: หากดื่มแล้วทำให้ขับถ่ายน้อยลง ก็พยายามดื่มให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนในกาแฟและสารแทนนินในชา มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย
- ชอบกินอาหารรสจัด: ทั้งรสเปรี้ยวจัดและเผ็ดจัด ทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ และยังส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีปัญหาจนเกิดเป็นโรคริดสีดวง
ถ้าคุณมีอาการแบบนี้...ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจทวารหนัก!
- มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ
- มีก้อนยื่นออกมาขณะถ่ายอุจจาระ
- ทวารหนักเปียกแฉะ คันรอบๆ ปากทวารหนัก
- มีการอักเสบของริดสีดวง และเจ็บบริเวณทวารหนัก
- เวลาคลำจะพบก้อนบริเวณทวารหนัก
ระดับความรุนแรงของการถ่ายเป็นเลือด
อาการหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มตระหนักว่าตัวเองมีความเสี่ยงเป็นริดสีดวง คือการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เกิดจากการขับถ่ายปกติที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน บางครั้งจะมีเลือดหยดหลังถ่ายอุจจาระออกมาแล้ว หรือเป็นอุจจาระที่มีเลือดอยู่ในนั้น ทำให้อุจจาระเป็นสีแดงแตกต่างจากปกติ ซึ่งการถ่ายเป็นเลือดแต่ละแบบ จะช่วยให้วินิจฉัยโรคออกมาได้ไม่เหมือนกัน เพราะสัญญาณนี้เป็นอาการของหลายโรค ไม่ใช่แค่เพียงโรคริดสีดวง ดังนั้นเมื่อมีอาการแล้วจึงควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด เพื่อผลดีกับตัวผู้ป่วยเอง
การถ่ายเป็นเลือด ของผู้ป่วยริดสีดวงทวาร มีลักษณะอย่างไร ?
การถ่ายเป็นเลือดเป็นอาการหลักของโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งเกิดจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำเนื่องจากท้องผูก ท้องเสีย ทำให้เส้นเลือดดำที่ปลายทวารหนักบวมและไม่ยุบลงไป เกิดเป็นตุ่มริดสีดวง บางคนที่ริดสีดวงอักเสบมากๆ จนหลุดออกมาด้านนอก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเวลาเดินหรือนั่งอย่างมาก หลังจากนั้นเวลาขับถ่ายก็จะมีเลือดออกมาเป็นหยดหลังการถ่าย หรือมีเลือดเปื้อนทิชชู่ตอนเช็ดทำความสะอาด ส่วนอุจจาระเป็นสีปกติ บางคนไม่รู้สึกเจ็บปวด อาการจะเป็นแบบเป็นๆ หายๆ แต่บางคนก็รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก คันบริเวณก้น และขับถ่ายลำบากร่วมด้วย
ควรทำอย่างไร …เมื่อมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด
- ควรให้ข้อมูลกับแพทย์ผู้ดูแลอย่างละเอียด ควรให้แพทย์ตรวจทวารอย่าเขินอาย เพราะการตรวจร่างกายและซักประวัติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
- อย่าชะล่าใจ หากมีเลือดออกทางทวาร หรือการขับถ่ายไม่ปกติ ควรมาพบแพทย์โดยเร็ว
- จะเป็นผลดีอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความผิดปกติ หากมาพบแพทย์ในวันเดียวกับที่เลือดออก
แพทย์และพยาบาลที่ดูแล จะทำอย่างไร
- ซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยละเอียด
- ตรวจทวารหนักและช่องทวารหนักโดยละเอียด เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเลือดออกจากที่ใด ใช่ริดสีดวงหรือไม่
- ตรวจภาวะเลือดออก ที่มีอยู่ในอุจจาระ
- เจาะเลือดเพื่อทำการตรวจพิเศษต่างๆ ตามความจำเป็น
- หากไม่พบว่ามีต้นเหตุของเลือดออก แพทย์จะแนะนำถึงทางเลือกในการตรวจลำไส้ด้วยกล้องหรือรังสีวินิจฉัยที่เหมาะสม
การตรวจประเมินภาวะริดสีดวง ด้วยการ Procto scope
เพราะริดสีดวงมีอยู่ด้วยกันหลายระยะ...แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าความรุนแรงของริดสีดวงของคุณกำลังอยู่ในระดับไหน ดังนั้นการตรวจประเมินจึงเป็นเหมือนการตรวจหาระยะของริดสีดวง โดยการใช้เครื่อง Procto scope สอดเข้าทางทวารหนัก เมื่อแพทย์ทราบถึงระดับความรุนแรง ก็จะทำการวางแผนการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมในขั้นตอนต่อไป
ข้อดีของการเข้ามารับการตรวจ ไม่เพียงเพื่อเช็คระดับความรุนแรงของโรค แต่อาจจะค้นพบความจริงว่าคุณไม่ได้เป็นริดสีดวงก็ได้นะ!!! เพราะการถ่ายเป็นเลือดอาจไม่ใช่ริดสีดวงเสมอไป และในบางครั้ง อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่” ได้เลยทีเดียว
คุณกำลังเป็น...ริดสีดวงระยะไหนนะ?
ริดสีดวงภายใน จะเกิดเหนือ dentate line อยู่ด้านในของทวารหนัก ปกคลุมด้วยเยื่อบุผิวทวารหนัก ไม่มีเส้นประสาทจึงไม่ได้รับความเจ็บปวดโดยแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ
- ระยะที่ 1 : มีเลือดออกหลังขับถ่ายอุจจาระ แต่หัวริดสีดวงจะอยู่ภายในรูทวารหนัก...ยังไม่ยื่นออกมา
- ระยะที่ 2 : หัวริดสีดวงโผล่ออกมาในขณะขับถ่ายอุจจาระ และหดกลับได้เอง
- ระยะที่ 3 : หัวริดสีดวงยื่นออกมาขณะขับถ่ายอุจจาระ...และต้องใช้มือดันให้หดกลับเข้าไป
- ระยะที่ 4 : หัวริดสีดวงยื่นออกมา...และใหญ่เกินกว่าจะหดกลับเข้าไปได้
การเติบโตของริดสีดวงทวารในแต่ละระดับ...ใช้เวลานานแค่ไหน
การเติบโตของริดสีดวงในแต่ละระดับ...ไม่สามารถบอกระยะเวลาที่แน่ชัดได้ อย่าง เคสที่คนไข้มาด้วยริดสีดวงระดับที่ 2 แต่พอมีการขับถ่ายหรือมีการออกแรงเบ่ง...ความรุนแรงก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 3 ได้!
การรักษาริดสีดวง...ขึ้นอยู่กับระยะความรุนแรง
- ระยะที่ 1-2 อาการยังไม่รุนแรง : สำหรับผู้ป่วยที่เข้ามาพบแพทย์ในขณะที่ริดสีดวงยังอยู่ในระยะไม่รุนแรง การรักษาอาจไม่ต้องผ่าตัด!! แต่อาจมีการแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ทานอาหารเพิ่มกากใย ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เลี่ยงพฤติกรรมนั่งเล่นโทรศัพท์ในขณะขับถ่าย อาจมีการให้ยาระบายอ่อนๆ เพิ่มเติม หรือฉีดยาเพื่อให้หัวริดสีดวงฝ่อ ควบคู่กับการทานอาหารกากใยสูง
- ระยะที่ 3-4 อาการมีความรุนแรง : สำหรับผู้ป่วยที่มาด้วยริดสีดวงระยะที่ 3-4 จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น! ซึ่งในปัจจุบันมีเทคนิคมากมาย ทั้งการใช้ยางรัดริดสีดวง การเย็บผูกริดสีดวง หรือการผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือผ่าตัดแบบเย็บอัตโนมัติ
การผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวาร ทำได้กี่วิธี
การผ่าตัดริดสีดวงในปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเราจะดูวิธีที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคนมากกว่า ปัจจุบันการผ่าตัดมีด้วยกัน 4 วิธีคือ
- วิธีดั้งเดิม ใช้มีดกับการจี้ไฟฟ้า เหมาะกับริดสีดวงภายนอกหรือริดสีดวงบางชนิดที่อาจจะเป็นหัวที่มีการอักเสบมีการลือดออก หรือมีขนาดใหญ่เกินจะใช้วิธียิงยางรัด
- การตัดเย็บอัตโนมัติหรือใช้ Stapple จะใช้กับริดสีดวงภายใน และมักเป็นริดสีดวงที่มีเลือดออก มีหลายหัวร่วมกัน
- การอัลตร้าซาวด์โดยหาเส้นเลือดที่มาเลี้ยงริดสีดวง และเป็นการเย็บผูกเส้นเลือดร่วมกับการตัดริดสีดวงบางหัวร่วมกัน
- เลเซอร์ เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่เกิน 10 ปี แต่การใช้เลเซอร์นั้นค่อนข้างใช้เวลาในการผ่าตัดนานเป็นชั่วโมง และกว่าจะเห็นผลก็ใช้เวลา 1-2 ปี จึงไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้
การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ..เทคนิคใหม่ช่วยลดความเจ็บปวด
แม้ว่า “การผ่าตัดริดสีดวงแบบเดิม” จะมีมานานหลายสิบปี แต่เนื่องจากการผ่าตัดวิธีนี้ต้องทำการผ่าตัดผ่านตำแหน่งของหูรูด ทำให้ระดับความเจ็บปวดของคนไข้หลังการผ่าตัดมีมาก และผู้ป่วยใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ
“การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือตัดเย็บแบบอัตโนมัติ” จึงเป็นทางเลือกใหม่...ที่ช่วยลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดให้กับผู้ป่วยได้!! เพราะวิธีนี้จะทำการผ่าตัดบริเวณที่สูงกว่าหูรูด ซึ่งไม่มีประสาทรับความเจ็บปวดมาเลี้ยง “อาการเจ็บปวดแผลหลังผ่าตัดจึงไม่มีอีกต่อไป”
เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ มีการทำงานอย่างไร
แนวความคิดใหม่ในการผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก คือ การดันเบาะรองกลับสู่ที่เดิม ริดสีดวงทวารหนักชนิดภายนอกก็จะยุบแบนลงและชนิดภายในก็จะถูกดันกลับไป และเย็บแขวนเอาไว้ป้องกันไม่ให้เลื่อนต่ำลงมาอีก ส่วนของเบาะรองที่ยังเหลือยื่นยาวอยู่ จะถูกตัดทิ้งด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ ในตำแหน่งที่สูงกว่าแนวเส้นประสาท ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บปวด
นอกจากนี้...การผ่าตัดวิธีใหม่ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกนะ!
- ตัดริดสีดวงทวารหนักออกได้หมดโดยไม่เกิดรูทวารหนักตีบตัน
- ผู้ป่วยจะเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า
- ไม่มีบาดแผลอยู่ภายนอกไม่ต้องรักษาแผลอีกหลายสัปดาห์
- หลังผ่าตัดไม่ต้องแช่ก้นด้วยน้ำอุ่นเพื่อล้างแผล
- หลังผ่าตัดไม่ต้องใส่ผ้าอนามัยซับน้ำเหลือง
- เวลาในการผ่าตัดสั้นกว่า
- เวลาในการอยู่โรงพยาบาลสั้นกว่า
- เวลาในการพักฟื้นที่บ้านสั้นกว่า
คนไข้ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกี่วัน ?
หลังการผ่าตัด หากคนไข้ต้องการกลับบ้านในวันนั้นเลย...ก็สามารถทำได้! แต่หากคนไข้ไม่ติดเหตุด่วนอะไร หมออยากแนะนำให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพื่ออยู่ดูอาการซัก 1 คืนก่อน
หลังผ่าตัดริดสีดวงแล้ว มีโอกาสเป็นซ้ำได้หรือไม่
หลังการผ่าตัดคนไข้จะยังมีอาการหน่วงๆ เล็กน้อย แต่สามารถขับถ่ายหรือออกแรงเบ่งได้ตามปกติ ถามว่ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหรือไม่ จริงๆ ยังไม่ค่อยพบเคสในลักษณะนี้ แต่ถ้ามีการเกิดซ้ำ จะกินระยะเวลาประมาณ 3-5 ปี แต่ทั้งนี้ คนไข้เองก็ต้องมีการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
สังเกตการขับถ่าย ก็จำเป็นสำหรับคนที่ผ่าริดสีดวงแล้ว
- ถ่ายไม่ออกหรือไม่ถ่าย - หากขับถ่ายไม่ออกเกิน 2 วัน ควรใช้ยาระบายช่วย ได้แก่ MOM (Milk of Magnesia) 30 cc. หรืออาจใช้ยาสวนทวารร่วมด้วย ได้แก่ Unison, Fleet, Enema หรือ Glycerine เป็นต้น หากใช้แล้วไม่ได้ผลควรปรึกษาแพทย์
- ถ่ายบ่อยเกินไป - หลังผ่าตัดอาจรู้สึกปวดถ่ายไวกว่าปกติจึงทำให้ถ่ายบ่อย แต่ถ้าถ่ายบ่อยเกินไปจะไม่ดีกับแผลผ่าตัด ต้องรีบปรึกษาแพทย์
หลังการผ่าริดสีดวง หากมีอาการต่อไปนี้ต้องรีบพบแพทย์
- ถ่ายเป็นลิ่มเลือดปริมาณมากโดยไม่ค่อยมีอุจจาระออกมา
- เจ็บแผลมาก มีไข้ ปวดตลอดเวลา มีหนองหรือน้ำเหลืองออกมาในปริมาณมาก
- มีไข้สูงไม่ทราบสาเหตุและซึมลง