ยิง"ชู้"จะติดคุกไหม
ยิง”ชู้” จะต้องรับโทษจะเป็นอย่างไร
กรณีนำเสนอข้อกฎหมายในวันนี้ ไม่ได้จะเป็นแนวทางในการกระทำความผิด แต่เป็นการให้กรณีให้ศึกษาถึงข้อกฎหมายของไทยว่า หากเป็นกรณีในเช่นนี้แล้ว ผลทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร ซึ่งทนายความเชียงใหม่ ขอเล่าข้อเท็จจริงในคดี ให้ทราบดังนี้
นาย A ได้คบหากับนางสาวB เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมานางสาว B แอบเป็น “ชู้” กับนาย C โดยได้ร่วมประเวณีกับในห้องนอน ปรากฏว่า นาย A เข้ามาในห้องเจอเหตุการณ์ในขณะทั้งสองกำลังร่วมประเวณีกันอย่างไม่เกรงใจใคร แม้กระทั่งเพื่อนข้างห้องทั้งซ้ายขวา นาย A จึงใช้อาวุธปืนยิงนาย C บาดเจ็บสาหัส โดยไม่ได้สวมเสื้อผ้า นาย A ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ พร้อมอาวุธของกลาง นาย A ยอมรับสารภาพ และให้การปฏิเสธภาคเสธ(ปฏิเสธในข้อกฎหมาย) ว่า นาย A ป้องกันสิทธิของตน เพราะเป็นสามีของนางสาว B
สู้กันอยู่ 3 ศาล ปรากฏว่า ศาลพิพากษาว่า นาย A มีความผิด ไม่อาจอ้างป้องกันได้ เพราะนาย A ไม่ใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาว B แต่นาย A สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะได้ เพราะนาย A เป็นสามีและก็ได้อุปการะเลี้ยงดู นางสาว B เยี่ยงภริยา ซึ่งนาย C ก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของนาย A กับ นางสาว B แต่นาย C ก็ยังไปลักลอบร่วมประเวณีกับ นางสาว B
สรุปแล้ว นาย A สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะ ได้ กล่าวคือ ได้รับโทษน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดดังคำพิพากษาศาลฎีกาดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2544 การกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย สิทธิอันบุคคลมีอยู่นั้นต้องเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ด้วย การที่จำเลยยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายลักลอบหลับนอน ร่วมประเวณีกับ ส. ซึ่งมิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีภยันอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อ ส. การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบ แต่แม้ว่าจำเลย และ ส. จะมิได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แต่จำเลยก็ได้อุปการะเลี้ยงดู ส. เยี่ยงภริยา ซึ่งผู้เสียหาย ก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของจำเลยกับ ส. แต่ผู้เสียหายก็ยังไปลักลอบร่วมประเวณีกับ ส. การที่จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะ ดังกล่าวจึงเป็นการบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า โดยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน ที่จะอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย สิทธินั้นต้องเป็นสิทธิอันบุคคลที่มีอยู่โดยกฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางสมนึกเป็นภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จำเลยฎีกาว่า จำเลยยิงผู้เสียหายเพราะได้ยินนางสมนึกร้องให้ช่วยเนื่องจากถูกปล้ำ แต่จำเลยหาว่านางสมนึกมีชู้จะยิงให้ตาย และ ตามคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสมนึก ซึ่งนางสมนึกให้การในวันเกิดเหตุนั้นเอง ก็ได้ความว่าขณะนางสมนึกนอนอยู่กับผู้เสียหายในห้อง จำเลยเข้ามาในห้องและยิงผู้เสียหาย ไม่ได้ความว่านางสมนึกร้องให้ผู้ใดช่วยแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อนางสมนึกที่จำเลยจะอ้างว่า ป้องกันสิทธิโดยชอบ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายถึง ๓ นัด ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่จากข้อเท็จจริงแห่งคดีแม้จำเลยและนางสมนึกจะมิได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมายแต่จำเลยก็ได้อุปการะเลี้ยงดูนางสมนึกเยี่ยงภรรยาโดยได้เปิดร้านค้าและห้องพักที่เกิดเหตุให้นางสมนึกช่วยดูแลกิจการร้านค้า ซึ่งผู้เสียหายก็ เบิกความรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของจำเลยและนางสมนึกว่าเป็นคู่รักกัน แต่ผู้เสียหายก็ยังไปยุ่งเกี่ยวโดยลักลอบ หลับนอนร่วมประเวณีกับนางสมนึก การที่จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะดังกล่าว จึงเป็นการบันดาลโทสะโดยข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะจำคุก ๔ ปี? ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน และปรับ ๓,๐๐๐ บาท โทษจำคุกแต่ละกระทงให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี และให้ คุมความประพฤติจำเลยไว้โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๓ เดือนต่อหนึ่งครั้ง ตลอดระยะเวลา ที่รอการลงโทษไว้นั้นกับให้จำเลยละเว้นการประพฤติอันใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้อีก ตาม ป.อ. มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๙.
ตอนต่อไปจะนำเสนอ สามีโดยชอบด้วยกฎหมาย ยิง ชู้ มาฝากต่อไป