การติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
6 ใน 10 ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่องคชาติมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HPV
เชื้อ human papillomavirus (HPV) เป็นกลุ่มเชื้อไวรัสที่มีมากกว่า 150 สายพันธุ์และสามารถติดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง การติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการและสามารถหายไปได้เอง แต่ก็อาจทำให้เกิดหูดที่ผิวหนังที่อวัยวะเพศ และการติดเชื้อ HPV บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลได้ แม้ว่าตนเองจะไม่มีอาการก็ตาม
ความชุกของการติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
มีเชื้อ HPV มากกว่า 40 ชนิดที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และทางปาก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค กล่าวว่า การติดเชื้อ HPV ถือเป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้ชายและผู้หญิงที่ยังมีเพศสัมพันธ์จะมีโอกาสติดเชื้อ HPV ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต รายงานในวารสาร Sexually Transmitted Disease ปี ค.ศ. 2013 ได้มีการประมาณผู้ชายที่ติดเชื้อ HPV ในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 39.2 ล้านคนในปี ค.ศ. 2008 และในจำนวนนี้มี 9 ล้านคนที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี และมีผู้ชายอายุ 15-59 ปี ที่ติดเชื้อ HPV ใหม่ในปี ค.ศ. 2008 อยู่ที่ 7 ล้านคน ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่นจากการติดเชื้อ HIV จะมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ HPV
อาการของการติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
มีการติดเชื้อ HPV ประมาณ 75% ที่สามารถทำให้เกิดหูดที่ผิวหนังได้หลายรูปแบบและสามารถติดต่อได้จากการสัมผัส อ้างอิงจากสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นๆ สามารถทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศได้ โดย 90% ของการเกิดหูดที่อวัยวะเพศเกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6 และ 11
อ้างอิงจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค การเกิดหูดที่อวัยวะเพศในผู้ชายสามารถเกิดตามหลังจากการติดเชื้อได้หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน โดยสามารถโตได้ทั้งภายในและรอบๆ ทวารหนัก ต้นขาด้านบน บริเวณขาหนีบ หรือที่องคชาติและอัณฑะ และด้านในของรูเปิดท่อปัสสาวะ หูดที่อวัยวะอาจจะ
- เห็นได้ชัดหรือมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะมองเห็นได้
- เรียบหรือยกนูนก็ได้
- มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ (เมื่อโตรวมกันเป็นกลุ่มๆ)
- ปวด เจ็บ หรือคัน หากหูดเกิดที่บริเวณรูเปิดปัสสาวะอาจทำให้เกิดการปัสสาวะผิดปกติและเลือดออกจากท่อปัสสาวะได้
ภาวะแทรกซ้อน (มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HPV)
การติดเชื้อ HPV บางสายพันธุ์เรื้อรังอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งบางชนิดในผู้ชายได้ โดย 90% ของมะเร็งทวารหนักเกิดจากการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18
อ้างอิงจากรายงานในวารสาร Journal of Lower Genital Tract Disease ปี ค.ศ. 2011 อาการของมะเร็งทวารหนักประกอบด้วยการมีเลือดออกจากทวารหนัก อาการปวด คัน หรือมีสารคัดหลั่งออกมา มีต่อมน้ำเหลืองโตภายในทวารหนักหรือบริเวณอวัยวะเพศและมีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายและอุจจาระ ประมาณ 6 ใน 10 ของมะเร็งองคชาติและ 7 ใน 10 ของมะเร็งในช่องปากและลำคอมีความเกี่ยวกับของกับการติดเชื้อ HPV
อ้างอิงจากสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา มะเร็งองคชาติจะเริ่มจากการมีเนื้อเยื่อภายในองคชาติเปลี่ยนแปลง เช่นเปลี่ยนสีหรือมีผิวหนังหนาตัวขึ้น และอาจทำให้มีองคชาติโตขึ้นหรือเป็นแผลได้ภายหลัง
อาการของมะเร็งในช่องปากและลำคอ ประกอบด้วย
- เจ็บคอ ปอดหู เสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง
- กลืนเจ็บ
- น้ำหนักลด
- คลำได้ก้อนที่คอ
การรักษาโรค HPV
ไม่มีการรักษาการติดเชื้อ HPV ให้หายขาด แต่มีการรักษาเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้ หูดที่ผิวหนังสามารถรักษาได้ที่บ้านโดยการใช้กรด salicylic หรือยาที่ใช้ทำ cryotherapy ที่ซื้อได้ทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอาจใช้เทคนิคอื่นๆ ในการรักษาเพิ่มเติมเช่นการผ่าตัดด้วยไฟฟ้า การผ่าตัดออก การทำเลเซอร์ การทำ immunotherapy และการรักษาด้วยการใช้ยาที่ชื่อ cantharidin หูดที่อวัยวะเพศสามารถรักษาได้ด้วยยาทาหลายชนิดหรืออาจใช้การผ่าตัดหากเป็นหูดที่รักษายาก สำหรับมะเร็งทวารหนัก องคชาติ และในช่องปากและคอ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรักษามะเร็งทั่วไป เช่น การให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการผ่าตัด
วัคซีน HPV สำหรับผู้ชาย
มีวัคซีน HPV 2 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ชายเพื่อป้องกันการติดเชื้อและสามารถป้องกันการเปิดหูดที่อวัยวะเพศและมะเร็งทีเกี่ยวข้องกับเชื้อ HPV ได้เกือบ 100% วัคซีน Gardasil สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 โดยได้รับการอนุญาตให้ใช้ในผู้ชายอายุระหว่าง 9-26 ปี ส่วนวัคซีน Gardasil 9 สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 โดยสามารถใช้ได้ในผู้ชายอายุระหว่าง 9-15 ปี
วัคซีนทั้ง 2 ชนิดแบ่งฉีดออกเป็น 3 ครั้ง โดยวัคซีนเข็มที่ 2 ฉีดหลังจากการฉีดเข็มแรกไปแล้ว 1-2 เดือน และวัคซีนเข็มที่ 3 ฉีดที่ 6 เดือนหลังการฉีดครั้งแรก
วัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดใน
- เด็กชายทุกคนที่มีอายุ 11 หรือ 12 ปี
- เด็กชายอายุ 9 ปี หากมีประวัติถูกทารุณกรรมทางเพศ
- เด็กชายอายุมากกว่า 12-21 ปี หากไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายและผู้ชายที่มีระดับภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนถึงอายุ 26 ปี
วัคซีนนี้ยังแนะนำให้ฉีดในผู้หญิงและเด็กหญิงบางรายอีกด้วย