The Ghost Radio : “ออฟฟิศสยอง” วิศวกรคุมงานสร้างห้างดังกลางกรุงฯ เจอผีครั้งเดียว..ไม่เคยพอ!(แบบอ่าน)
จากเรื่อง : ครั้งเดียวไม่เคยพอ
เรื่องเล่าจาก : THE GHOST RADIO
เล่าโดย : คุณภาคิน
เริ่องเล่าในวันนี้เป็นประสบการณ์ของคุณภาคิณ ที่ผ่านมาราว 2 ปี ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครั้งที่ไปรับงานสร้างที่จอดรถแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยให้ชื่อเรื่องว่า “ครั้งเดียวไม่เคยพอ”
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2559 ผมได้รับคำสั่งให้ไปเริ่มโครงการสร้างแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ บอกเลยว่าแลนด์มาร์คแห่งนี้..บอกโลเคชั่นไปนี่ รู้จักกันทุกคนแน่นอน โดยเจ้าของงานก็จะเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งชื่อดังมากๆ เนื่องจากว่าสิ่งที่กำลังจะสร้างเนี่ยอยู่กลางถนน เจ้านายผมต้องการให้มีออฟฟิศสำหรับสายงานก่อสร้าง ก็เลยได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของงานว่า เค้ามีอาคารจอดรถอยู่ในพื้นที่ห้างของเค้าเป็นตึก 10 ชั้น โดยผมก็เข้าไปติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ผมก็เอาแผนงานไปแจ้งเค้าว่า..จะทำงาน 4 วันไม่เกิน 5 วัน
โดยอาคารนี้เป็นอาคารสาฐารณะ ซึ่งเค้าจะอนุญาตให้ใช้ทำออฟฟิศได้ตั้งแต่ชั้นที่ 8 เป็นต้นไป ซึ่งเดิมทีจะมีห้างนึงในเครือของเค้าอินโนเวท ก็จะมีบริษัทนึง มีชื่อและใหญ่ เค้าก็จะจองไว้ชั้น 9 ถึงชั้น 10 ทำเป็นพวกสโตร์ ของผมก็จะได้เป็นพื้นที่อีกโซนนึงซึ่งห่างเค้าพอสมควร ข้อที่ 2 เงื่อนไขเค้าคือต้องเริ่มทำงานหลังห้างปิดตั้งแต่ 23.00 และไม่เกิน 4.00น. และจากที่หัวหน้าผมบอกว่าทางผู้ใหญ่เค้าจะให้มีคนของเค้าเฝ้าระวังความปลอดภัยตลอดเวลาทำงาน โดยเวลาที่ผมจะทำงานก็จะโทรแจ้งเค้าล่วงหน้า ข้อสุดท้ายคือห้างเนี้ยนะครับจะมีทางยาวประมาณ 200 เมตร เป็นลิฟต์ 2 ฝั่ง ฝั่งละ 4 ตัว ตอนกลางคืนจะใช้ได้แค่ 2 ตัว ส่วนห้องน้ำเนี่ยไม่มีจะใช้ต้องลงไปข้างล่าง แล้วอย่างที่บอกผมวางแผนไว้ประมาณ 10 วัน วันแรกผมเข้าไปตอนสี่ทุ่มครึ่ง ผมต้องนัดทีมงานจะทำผนังออฟฟิศผมเนี่ยตอนห้าทุ่มครึ่ง ผมก็เข้าไปล่วงหน้า ก็กะว่าจะไปประสานงานล่วงหน้า
วันนั้นตอนผมไปชั้นหนึ่งก็ยังมีคนจอแจอยู่ เพราะ ห้างเพิ่งปิดก็ยังพอมีคนบ้าง จู่ๆก็ได้กินธูปจนมองไปก็เห็นเป็นโต๊ะบูชาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึก เป็นเหมือนเครื่องเซ่น คือเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าไปทำงานห้างก็จะเจอเรื่องไหว้เรื่องอะไรแบบนี้ ก็เป็นปกติ จริงๆใจก็คิดบ้างว่าเออจะเจอผีรึเปล่า เพราะขึ้นไป เพราะขึ้นไปชั้นบนก็ปรากฎว่าก็ไม่เห็นใครเลย ตรงนั้นบรรยากาศออกจะสลัวๆเพราะเค้าจะเปิดไฟแบบ 2 ดวงเว้น 1 ดวง ก็เลยกะว่าจะโทรติดต่อประสานงานเจ้าหน้าที่เขาว่ามาถึงแล้ว เค้าก็ถามว่า “ตอนเนี่ยน้องอยู่ไหน” ผมก็บอกไปว่า “ตอนนี้อยู่ชั้น 10 แล้ว” เค้าก็ถามต่อไปว่า “แล้วตอนนี้อยู่กับใคร” ก็บอกว่าอยู่คนเดียวเดี๋ยวทีมงานจะตามมาอีกประมาณ 10 นาที เขาพูดคำเดียวเลยว่า “หูยยยย” แบบตอนแรกก็งงว่าทำไมอะไรยังไง แล้วเค้าก็บอกว่า “เอองั้นเดี๋ยวผมจะรีบตามขึ้นไปแล้วกัน” ก็นั่งรอไปจนกระทั่ง 20 นาทีลูกน้องผมก็ตามมาบางคน ส่วนทีมงานเนี่ยตอนแรกมาก็ตกใจนะ เค้าจะมาด้วยรถกอล์ฟ รถกอล์ฟเนี่ยปกติก็จะนั่งได้ประมาณสองคน แต่นี่กลับมากันห้าคนนะครับ ทีแรกผมก็คุยเรื่องงานไปว่า อ่าอยากได้แบบนี้นะอะไรงี้ แล้วก็พูดแซวเขาว่า “โห เออพี่ไมมากันเยอะจังอ่ะ” เขาพูดมาคำเดียวที่ทำให้ผมจำขึ้นใจได้เลยคือ “มาเยอะๆอ่ะดีแล้ว อุ่นใจดี” จนกระทั่งเริ่มงานวันที่หนึ่งวันที่สองก็ดีนะครับ แต่ที่น่าสงสัยคือไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครอยู่เลย คือแบบห้าทุ่มจนตีสามก็ยังไม่มีใครมาดู ทั้งๆที่แบบทางผู้ใหญ่เค้าเน้นมาว่าจะต้องมีคนคอยอยู่ดูนะ เพราะว่างานก่อสร้างเนี่ยมันก็จะมีแบบมีงานเชื่อมบ้างอะไรบ้าง ซึ่งด้วยความที่มันเป็นอาคารสาธารณะเนี่ย ถ้ามันเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอะไรเงี้ยมันก็จะสร้างความเสียหายมาก ตรงนี้เราก็จะเข้าใจกัน
พอเข้าวันที่ 3 แล้วคืองานมันใกล้จะเสร็จแล้ว คือคืนนั้นก็แบบล้า ซึ่งงานเนี่ยมันก็จะเหลือแค่ติดกระจกหน้าต่างอะไรเนี่ย ผมก็เลยกะว่าอ่ะ นอนซักหน่อยหน้าออฟฟิศที่ก่อสร้างนั่นแหละ จู่ๆมันก็รู้สึกตัวครับเหมือนมีคนมาเขย่าขา พอลืมตาขึ้นมาเนี่ยก็เห็นคนงานสามคน แต่มันแปลกอยู่อย่างนึงคือคนงานเนี่ย ใส่หมวกกระต๊อบ เป็นหมวกสานเหมือนคนหาบขายไข่ปิ้ง ซึ่งผมมั่นใจว่าคนงานของทางบริษัทเนี่ยเป็นไปไม่ได้ที่จะใส่แบบนี้ เพราะเป็นมาตรฐานใหม่ที่คนงานจะต้องใส่เสื้อมีแถบสะท้อนแสง หมวกเซฟตี้ คือเค้าแต่งตัวเหมือนเป็นคนงานยุคเก่ารู้สึกตัวตื่นมาก็มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นลูกน้องผมแปดคนที่ติดตั้งประตูหน้าต่างอยู่ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับเค้านะ ก็โทรถามลูกน้องว่าเออ สร้างออฟิศเสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่ปลุกผมเนี่ย ลูกน้องก็ว่าเห็นช่างหลับสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า เออ…แล้วทำงานเสร็จแล้วเหรอ เท่าที่ผมดูเนี่ย เหมือนงานมันไม่ค่อยเรียบร้อยนะ เค้าก็บอกโอเคเดี๋ยวไปเก็บงานให้ แต่…เค้าขอรองว่าขอไปเก็บให้ตอนกลางวันเท่านั้นนะ คือคนงานเนี่ยผมก็จะจ้างผู้รับเหมาภายนอกมาน่ะนะครับ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
พอวันที่ 4 ตอนกลางวันเนี่ย ก็จะเป็นผมกับลูกน้องบริษัทผมละ ที่จะขนโต๊ะสำนักงานอะไรขึ้นไป ผมก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เค้า แต่เค้าก็ไม่ยอมให้ขึ้นมากลางวัน ต้องไปใช้ลิฟต์ขนของซึ่งมันตั้งอยู่ที่ชั้น 9 ตอนที่ใช้ลิฟท์อยู่เนี่ย ก็มีลุงรปภ.คนนึงเข้ามาดู ผมก็คุยกับแกว่าเนี่ย มีคนงานเจอเหตุการณ์แบบนั่นนี่มา แกก็ว่า อ๋อ ปกติเจอกันบ่อย ก็เป็นคนงานที่เคยสร้างตึกนี้มาแหละ แล้วเสียชีวิต ลุงก็ถามาว่า เจอ 3 คนใช่มั้ย ชาย 2 หญิง 1 คือแกพูดมามันก็แบบเป๊ะๆๆเลย เราก็แบบคิดว่าเออ เห้ย โดนแล้วเหรอวะเนี่ย ทีนี้ก็คิดอีกว่าเออเดี๋ยวเราจะต้องมาทำงานที่นี่แหละใช่มั้ย ก็เลยถามลุงไปเลยว่า ลุงเอาตรงๆเลยนะ ที่เนี่ยมีอะไรอีกบ้าง ลุงแกก็บอก อ่ะหนึ่งเลย ตั้งแต่ชั้น 8 ขึ้นมาเนี่ย ไม่มีใครขึ้นมากันหรอก พนักงาน รปภ. จะมีก็แค่รถกอล์ฟมา แค่เวลาตี 1 และตี 4 เท่านั้น แล้วเวลามาก็คือมาสองคัน คันนึงก็อัดมากันหลายคน แล้วอย่างผมเนี่ย ถ้าไม่มีคำสั่งผมก็ไม่ขึ้นมาเหมือนกัน ผมกลัว อย่างชั้น 8 เนี่ย ก็มีเหตุการณ์เร็วๆมาเนี้ย เป็นผู้หญิงกระโดดตึกตาย เราฟังแล้วก็แบบ เออ ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วยวะ อย่างที่เคยบอกว่ามีอีกบริษัทนึง อันนั้นเค้าพอตกกลางคืนก็จะไม่มีใครอยู่กันเลย ผมก็เล่าให้ทางหัวหน้าฟัง แกก็บอกไว้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมีทีมงานมาเยอะ
แล้วก็เหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผมถูกเลือกให้เป็นคนคุมโปรเจกต์ไซต์ ช่วงกลางคืน คนที่มาดูงานกับผมช่วงกลางคืนเนี่ย มีแค่ 6 คนเท่านั้น อันนี้หมายถึงสตาฟนะครับ ส่วนคนงานเค้าก็จะอยู่หน้างานของเขาอยู่ละ
จนมีอยู่วันนีง ผมน่ะเคลียร์งานกับโฟร์แมนเสร็จก็ตัดสินใจจะขึ้นออฟฟิศกัน ก็กะจะแวะร้านสะดวกซื้อซื้ออะไรไปกินกัน ปรากฎว่าผมเจอผู้หญิงอยู่คนนึง ลูกน้องก็สะกิด ช่างๆผู้หญิงหน้าตาดีมาก โทรศัพท์อยู่ร้องห่มร้องไห้ แล้วเดินไปทางลิฟต์ ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาดึกแล้ว 5 ทุ่มเที่ยงคืน ลูกน้องมันก็บอกช่างไปปลอบๆ ประมาณว่าจะไปหยอกไปจีบทำนองนั้น คือผมไปยืนอยู่หน้าลิฟต์ ซึ่งมันขึ้นไปแล้วตัวนึงมันก็ไปหยุดอยู่ที่ชั้น 8 ลูกน้องผมมันก็กดลิฟต์จะตามขึ้นไปเลยชั้น 8 พอออกลิฟต์มาปุ๊บเนี่ย โอ้โห…มืดตึ้บเลยครับ มืดแบบมันไม่น่ามีอะไรเลย ส่วนตัวผมก็กลัวแหละที่มืดๆ ก็รีบเดินออกไปดู เป็นลานจอดรถกว้างๆ ซึ่งถ้าผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถ มันก็ต้องได้ยินเสียงบ้าง แต่คือมันห่างกันแค่ไม่เท่าไหร่ ไม่น่าจะหายไปแบบไร้ร่องรอยอะไรขนาดนั้น ผมนึกขึ้นได้ก็รีบดึงลูกน้องกลับมา แล้วก็เล่าให้ฟัง มันก็ว่าเออดีๆ เกือบไปแล้ว ดีที่เล่าให้ฟังก่อน
และแล้วก็มีอยู่อีกวันนึง วันนั้นผมก็โทรคุยกับเจ้านาย ผมก็เดินคุยเพลินไปที่ลิฟต์ ปกติเวลาเราคุยโทรศัพท์ในลิฟต์เนี่ย พอเดินเข้าไปสัญญาณมันก็จะตัดเองทันทีเลย ซึ่งผมจะอยู่ชั้น 10 แต่ลิฟท์ที่นี่แปลกมากเลย เพราะจะมีชั้น 1, 3, 5, 6, 8, 9 ชั้น 10ไม่มี ก็พอถึงชั้น 9 ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไป พอสัญญาณตัดปุ๊บ ผมก็เงยหน้ามอง ลิฟท์ก็ขึ้นไปชั้น 5 – 6 – 8 แล้วประตูลิฟท์ก็เปิดที่ชั้น 8 ทั้งๆที่ผมไม่ได้กด ประตูเปิดปุ๊บคือมืดมาเลย เรื่องเล่าที่ฟังมามันก็ลอยขึ้นมาเหมือนกัน โดยความรีบผมก็กดปุ่มทันทีเลย ขณะลิฟต์กำลังจะปิด จู่ๆมันก็เปิดออกมาอีก แล้วไฟที่ปุ่มซึ่งปกติเวลากดเปิดหรือปิด มันก็จะสว่างขึ้น แต่นี่ไฟที่ปุ่มเปิดประตูคือกระพริบขึ้นรัวๆๆๆๆเลย คือตอนนั้นผมใจไม่ดีแล้ว คือเหมือนมีคนกดย้ำๆๆ ทั้งๆที่ข้างนอกมันมืดหมด มันไม่น่ามีใครยืนอยู่หรอก ผมอยู่ในลิฟต์ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าถ้าวิ่งออกไปตอนนั้นมันจะเจออะไรรึเปล่า แล้วอยู่ข้างใน อะไรจะเข้ามาหาเรารึเปล่า เลยแบบยืนนิ่งเลย คือถ้าใครเคยขึ้นลิฟต์ดึกๆน่าจะเข้าใจฟีลผมเลย พอสักพักนึงผมก็ปล่อยมัน ลิฟต์มันก็ปิด พอขึ้นมาชั้น 9 ผมก็รีบวิ่งขึ้นไปออฟฟิศเลย ซึ่งก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเหมือนกัน แต่กะว่าต่อไปถ้าไม่ขึ้นเช้า ก็ต้องหาพวก
พอเรื่องมันผ่านมาสักพัก ผมก็เจออีกเป็นครั้งที่ 2 ผู้หญิงคนเดิม ปกติผมเนี่ยจะเริ่มงานห้าโมงเย็น เลิกตีสอง แต่บางทีคนงานเค้าจะมีโอทีเลิก 6 โมงเช้าเนี่ย เราก็ต้องอยู่กับเค้าด้วย ชนกันหลายๆวันเข้า ไหนจะต้องประชุมกลางวันบ้าง ทำให้มันก็ล้าบางวันก็กลับบ้านไม่ไหว จนวันนึงเนี่ยผมก็ตัดสินใจว่า เออเล่านอนที่ออฟฟิศดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มีประชุม 8 โมงเช้า ถามว่าทำไมกล้านอนที่ออฟฟิศ เพราะเราก็มีพระมีอะไรอยู่ที่ทำงานบ้างเหมือนกัน ก็ไม่ได้คิดจะกลัวอะไร ลุกน้องก็จะเลิกตี 2 เค้าก็ถามว่าเอ้า ช่างจะนอนนี่เหรอ เราก็บอกว่าเออ มีประชุมเช้าแล้วบ้านเราอยู่ไกล นนทบุรีเลย ซึ่งออฟฟิศมันอยู่ใจกลางกรุง มันก็จะกลับไปกลับมาเปล่า พอลูกน้องไปกันหมดก็ไปนั่งดูคอมดูอะไรไป ซักพักนึงมีไลน์เด้งขึ้นมา “ช่างกลับไปนอนบ้านเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเจอ…” ซึ่งผมก็นึกขึ้นได้ว่าเออ มันนอนออฟฟิศบ่อยกว่าผมอีก ก็ตกใจโทรไลน์กลับไปหา มันก็บอกว่าขี่มอไซต์อยู่ ผมก็เลยไปเปิดไฟให้มันทั่วๆ ไปหาซอกนอนแล้วหันหัวติดกับผนังด้านนอก จนกระทั่งเคลิ้มๆ สุดท้ายก็หลับไป
จังหวะหนึ่งผมไม่แน่ใจว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง แล้วมีเสียงดังตุ้บ เหมือนมีคนมาเตะผนังออฟฟิศผม คราวนี้ผมสะดุ้งตื่น ตาผมลืม แต่ตัวขยับไม่ได้ แล้วก็มีเสียงเด็กวิ่งอีก สุดท้ายก็เลยเหมือนรวบรวมพลังฮึดขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำคือดูนาฬิกาก่อนเลย มันอาจจะเช้าแล้วก็ได้ แต่ปรากฏว่า ตีสามเกือบตีสี่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเด็กที่ไหนมาวิ่งตอนนี้ ก็ตัดสินใจว่าไม่อยู่ละ จะลงไปข้างล่างไปนั่งร้านสะดวกซื้อ คุยกับรปภ.ดีกว่า ผมก็เก็บข้าวเห็บของล็อคออฟฟิศ เดินไปตรงที่ลิฟต์ ก็ไปเจอลุงรปภ.ที่เคยเล่าให้ฟัง เหมือนแกมาเดินตรวจอะไรสักอย่าง แล้วในมือแกจะหิ้วเหมือนถุงดำอยู่ ผมก็ดีใจเจอคน เข้าไปจับแขนลุงแล้วเล่าให้แกฟัง คือต้องอธิบายก่อนว่าแกจะห้อยพระเยอะมาก อย่างกับเอามาทั้งกุฏิ เห็นแล้วก็ใจชื้น แกก็ยิ้มแฮ่ๆ แล้วถามว่า “นี่เหรอ” พร้อมหยิบบางอย่างออกมาจากถุง ปรากฎว่าเป็นกุมารสองตัว ผมก็แบบตกใจ “นี่ลุง เอามาจากไหนเนี่ย” ลุงแกก็บอกว่าเนี่ยมีเจ้าหน้าที่เค้าแจ้งมาว่าได้กลิ่นเหม็นไหม้จากชั้น 9 แกเลยเดินตามกลิ่นนั้นไป ปรากฏว่าเป็นธูป แล้วมีกุมารตั้งอยู่ 2 ตัว สรุปก็ไม่ได้ถามอะไรแกต่อว่าของใครหรือมาจากไหน
อีกเรื่องก็คือในทีมงานผมจะมีคนนึง ชื่อพี่ศักดิ์ ช่วงแรกๆจะสนิทกับแกมาก แกก็จะชอบเล่าเรื่องผี วันนึงแกก็บอกว่าเออเนี่ยช่าง ไปร้านค้าก็ซื้อเครื่องดื่มอะไรมาฝากแกหน่อย บางทีเราไม่อยู่แกก็ขึ้นมาดูออฟฟิศแทนเรา ผมก็ทำตามแกบอก พอช่วง 8 เดือนสุดท้ายของโครงการเนี่ย แกเหมือนทำตัวห่างเหินจากผม ออฟฟิศแกก็ไม่ขึ้นมา ขึ้นมาแค่แบบเซ็นใบโอทีอะไรแล้วรีบลงไปด้านล่าง แล้วแกก็จะไม่คุยกับผมเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ช่วงท้ายฟฌครงการเนี่ย จากเดิมที่บรรยากาศมันน่ากลัว ก็เริ่มมีความคึกคัก เพราะทางเจ้าของโครงการเค้าจะมีการรีโนเวทพื้นของอาคารจอดรถ ก็จะมีคนงงาน มีการเปิดไฟอะไร ช่วงท้ายๆงานผมก็จะไม่ค่อยมีอะไรมาก ก็จะเข้าเช้า เข้ามืดบ้างแล้วแต่
จนมีอยู่วันนึงก็เจอลุงแก ผมก็ซื้อน้ำซื้ออะไรให้แกตามปกติ ผมก็ถาม อ้าวลุงไม่อยู่ข้างบนแล้วเหรอ แกก็ว่าข้างบนคนเยอะแล้ว แอบหลับไม่ได้ ผมก็บอกแกว่าเออเนี่ย เดี๋ยวผมจะจบงานละนะ คงไม่ได้เจอกันแล้ว ถ้าวันไหนผมมาเที่ยวห้างอะไร เดี๋ยวผมแวะหา แกก็บอกเออมาเถอะ เดี๋ยวเจอเอง
จนงานจบ่านไปแล้ว ก็จะมีช่วงที่ผมต้องกลับมาแก้งานเก็บงานอะไรบ้าง วันนึงผมก็มาคุยงานที่ออฟฟิศด้านล่าง ก็เจอหัวหน้ารปภ. เค้าก็ทักว่า อ้าวช่างมาอีกแล้วเหรอ นึกว่าเสร็จไปแล้วนะเนี่ย ผมก็คุยเล่นกับแกไปว่า โห อยู่มาปีกว่า สองปีเนี่ย เจอผีอย่างบ่อยเลย แกก็ถามว่าใครเล่าให้ฟัง ผมก็บอกไปว่าก็ลูกน้องแกนั่นแหละ แกก็ถามว่าคนไหนผมก็เล่าไป แกก็ไล่ให้ฟังเลยนะว่าคนไหนทำงานกะไหน มีใครบ้าง นั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว แกก็ยืนยันว่าไม่มีนะ ผมดูแลงานตรงนี้อยู่ ใจนึงแกก็บอกว่าไม่ชัวร์ แต่แกไม่พอใจตรงที่ว่า ทำไมเอาความลับในบริาัทมาเล่าให้ผมฟังประมาณนี้ ก็เถียงวนไปวนมา ผมก็บอกว่าทำไมจะไม่มี เค้าเห็นกันทั้งไซต์ แกก้ไปฝ่ายบุคคล เอาแฟ้มมากาง ปีที่ผ่านมาก็ไม่มี ผมก็ว่ามีนะ เป็นประวัติเก่ารึเปล่าอาจจะปีก่อนๆ แกอายุเยอะละนะ อยู่มานาน แกก็เอามาอีกแฟ้มก็ไม่มี สุดท้ายเอามาอีกแฟ้มเป็นของสามปีก่อน เปิดๆไปปุ๊บ ผมเห็นชี้เลยปึ้ง คนนี้ๆ แต่ผมตกใจอย่างนึงคือ ปกติใครลาออกเค้าจะขีดแล้วเขียนว่าลาออก แล้วข้างหลังจะมีเหตุผลการลาออก แล้วรู้มั้ยครับ…ว่าเหตุผลการลาออกของลุงแกคืออะไร … “เสียชีวิต” ครับ!!
แล้วในใบลาออกใบนั้นเขียนปีออกไว้ว่าปี 57 แล้วหัวหน้ารปภ.แกก็คลายความลับมาว่า ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละว่าจะส่งคนขึ้นไปตรวจ แต่จริงๆแล้วไม่มี ไม่เคยส่งใครไปตรวจ จะมาก็คือตี 1 กับตี 4 แล้วก็ช่วงเช้าเลย คือผมก็ยังไม่เชื่อนะ แต่ไม่รู้จะคุยกับใคร สุดท้ายเลยโทรหาพี่ศักดิ์ ว่าพี่เนี่ยเรื่องลุงรปภ. แกก็ตอบกลับมาว่า “เนี่ยช่าง…ผมจะบอกมานานแล้ว ว่าผมเห็นช่างยืนคุยคนเดียว โคตรบ่อย” ผมก็ถาม จริงป่ะเนี่ยพี่ คือตอนที่ผมรู้ความจริงนี่คือแบบช้อคมาก เหมือนขาไม่มีแรง แกบอกว่าที่หลังๆไม่ค่อยอยากคุยกับผมเนี่ย แกคิดว่าผมบ้า ยืนคุยอยู่คนเดียว ทีแรกแก็นึกว่าผมคุยโทรศัพท์ จนมีอยู่วันนึงเห็นผมยืนคุยอยู่หน้าออฟฟิศ คุยคนเดียวเหมือนเดิม แล้วแกเข้าไปในออฟฟิศละเจอโทรศัพท์ผมวางอยู่ที่โต๊ะ คือผมบอกเลยว่าลุงคนเนี้ยผมก้คุยมาตลอดจริงๆ ให้น้ำมาตลอด จนผมแบบพอวางสายเสร็จเข่าอ่อนเลย ผมก็เดินไปมุมตึกก็ยกมือไหว้แก ขอขมาลาโทษ ไม่ต้องมาให้ผมเห็นนะ เพราะยังต้องมาติดต่องานที่นี่อยู่ แล้วเชื่อมั้ยครับ พอผมเงยหน้ามองขึ้นไป ผมเห็นเหมือนเงาสะท้อนเป็นหน้าคนยื่นมา ผมนี่ฉี่แตกเลยครับ
อีกเรื่องนึงคือตอนผมอยู่ออฟฟิศเนี่ย ลุกน้องผมเคยบอกว่าแกเจอขวดน้ำที่ยังไม่ได้เปิด สุมอยู่มุมหลังออฟฟิศเป็นสิบๆขวด ผมก็ขึ้นไปดูก็คิดว่ามันอาจจะบังเอิญก็ได้ พอนึกคิดดูแล้วเวลาผมให้น้ำลุง ลุงแกก็จะกำไปกำมาระหว่างคุย ไม่แกะกินต่อหน้าสักทีนะ… คือแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าสถานที่ชื่อดังใจกลางกรุง จะมีผีเยอะแบบนี้!!