น้ำลายเทียม คืออะไร
น้ำลายเทียม (Artificial Saliva)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นในช่องปากสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะปากแห้ง ปัจจุบันน้ำลายเทียมถูกวิจัยและพัฒนาให้มีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำลายธรรมชาติให้มากที่สุดโดยมีส่วนประกอบคือ น้ำ, สารบัฟเฟอร์ (Buffering agent, สารช่วยคงสมดุลความเป็นกรด-ด่าง/pH) ใส่เพื่อควบคุมความเป็นกรดด่าง, อนุพันธุ์ของเซลลูโลส (Cellulose deriva tive) ช่วยเพิ่มความเหนียวและความชุ่มชื้น, สารแต่งกลิ่นรส (Flavoring Agents) แต่อย่างไรก็ตามน้ำลายเทียมยังไม่มีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร ยังไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยังไม่มีโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆเหมือนกับในน้ำลายธรรมชาติ
น้ำลายเทียมมีกี่ประเภท?
ปัจจุบันมีน้ำลายเทียมเพียงประเภท/ชนิดเดียวยังไม่มีการแบ่งประเภทเพิ่มเติม
น้ำลายเทียมมีจำหน่ายในรูปแบบใด?
น้ำล่ายเทียมมีจำหน่ายในรูปแบบดังนี้
- สเปรย์พ่นทางปาก (Oral spray)
- ยาเม็ดลูกอม (Lozenges)
- ยาเจล (Gel)
- ยาสีฟัน (Toothpaste)
- ยาเม็ด (Tablet)
- น้ำยาบ้วนปาก (Mouth rinse, Mouth wash)
มีข้อบ่งใช้น้ำลายเทียมอย่างไร?
น้ำลายเทียมมีข้อบ่งใช้เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะปากแห้ง (Dry mouth, Xerostomia) ที่มีสาเหตุจากมีน้ำลายน้อยกว่าปกติส่งผลให้เกิดอาการพูด เคี้ยว กลืนอาหาร ไม่สะดวก การหล่อลื่นในช่องปากลดลง เกิดการระคายเคืองของเนื้อเยื่อในช่องปากซึ่งทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อและเกิดแผลในช่องปากได้ง่าย ฟันผุ เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก รู้สึกไม่สบายช่องปากในขณะที่ใส่ฟันปลอม การรับรสเปลี่ยนไปซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลง
อนึ่งภาวะปากแห้งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุได้แก่
- ความเครียด
- ร่างกายขาดน้ำ/ภาวะขาดน้ำ
- หายใจทางปาก
- ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อยลงเนื่องจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิดเช่น ยาแก้แพ้, ยาแก้คัดจมูก, ยาขับปัสสาวะ, ยาลดความดันโลหิต, ยาคลายกังวล/ยาคลายเครียด
- ได้รับรังสีรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ
- มีโรคของต่อมน้ำลายเช่น โรคปากแห้งตาแห้ง
- มีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเช่น การตั้งครรภ์ หรือในสตรีวัยหมดประจำเดือน
- เป็นโรคเบาหวาน
- เป็นโรคภูมิต้านเนื้อเยื่อของตนเอง/โรคออโตอิมมูนเช่น กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren's Syndrome)
มีข้อห้ามใช้น้ำลายเทียมอย่างไร?
มีข้อห้ามใช้น้ำลายเทียมในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้น้ำลายเทียมหรือแพ้ส่วนประกอบอื่นๆในตำรับ น้ำยาเทียม
มีข้อควรระวังการใช้น้ำลายเทียมอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้น้ำลายเทียมเช่น
1. หากผู้ป่วยเกิดภาวะปากแห้งจากการใช้ยาบางชนิดดังได้กล่าวในหัวข้อ “ข้อบ่งใช้ฯ” อาการปากแห้งสาเหตุนี้อาจหายเป็นปกติได้เองเมื่อผู้ป่วยหยุดใช้ยาเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อมีอาการปากแห้งหลังได้รับยาบางชนิด ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับขนาด หรือปรับเปลี่ยนยาที่ใช้รักษา โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ที่จะประเมินประโยชน์ของยานั้นๆว่า มีความจำเป็นที่ผู้ป่วยต้องได้รับ
2. น้ำลายเทียมบางชนิดมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งหากใช้เป็นเวลานานจะทำให้ฟันผุได้ซึ่งอาจเปลี่ยน ใช้น้ำลายเทียมที่มีฤทธิ์เป็นกลางแทนได้
การใช้น้ำลายเทียมในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
น้ำลายเทียมยังไม่ได้ถูกจัดระดับความปลอดภัยของยาที่ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ (US-FDA PregnancyCategory) และยังไม่มีการทดลองใช้ในสัตว์ทดลองที่ตั้งครรภ์หรือที่ให้นมลูก ดังนั้น สตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรใช้น้ำลายเทียมก็ต่อเมื่อมีการประเมินจากแพทย์ระหว่างประโยชน์ที่จะได้จากการใช้น้ำลายเทียมและความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารกที่อาจเกิดขึ้นว่าการใช้น้ำ ลายเทียมเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
การใช้น้ำลายเทียมในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
ผู้สูงอายุเป็นวัยเกิดภาวะปากแห้งมากกว่าช่วงวัยอื่นๆเนื่องจากมีโรคประจำตัวและใช้ยาหลายชนิดซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะปากแห้งได้ ดังนั้นการที่ผู้สูงอายุเข้ารับการรักษาโรคประจำตัวอาจส่งผลให้อาการปากแห้งดีขึ้นตามลำดับ และควรแจ้งแพทย์หากใช้ยาต่างๆแล้วเกิดภาวะปากแห้ง
อย่างไรก็ตามหากผู้สูงอายุมีอาการปากแห้งเกิดขึ้นก็สามารถบรรเทาอาการได้โดยการจิบน้ำบ่อยๆเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปาก หรือใช้น้ำลายเทียมเพื่อบรรเทาอาการได้อย่างปลอดภัย
การใช้น้ำลายเทียมในเด็กควรเป็นอย่างไร?
มีรายงานการใช้น้ำลายเทียมในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะปากแห้งเนื่องจากได้รับรังสีรักษาเมื่อป่วย เป็นโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ พบว่าผู้ป่วยเด็กสามารถใช้น้ำลายเทียมได้อย่างปลอดภัย
น้ำลายเทียมมีอาการไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ใดๆในผู้ที่ใช้น้ำลายเทียม
สรุป
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวม น้ำลายเทียม) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
พรลภัส บุญสอน
เภสัชกร