ถ่ายเป็นเลือดไม่ใช่แค่ริดสีดวง...แต่อาจเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่”
หากเช้าวันหนึ่ง คุณตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำตามปกติ แต่กลับพบว่าอุจจาระที่เคยปกตินั้นมีเลือดปนมาด้วย นั่นอาจทำให้คุณใจเสีย เกิดความกังวลไปต่างๆ นานาว่าจะเป็นโรคร้าย แต่การถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเองก็มีหลายรูปแบบ ซึ่งผศ.นพ.ธัญเดช นิมมานวุฒิพงษ์ แพทย์ที่ปรึกษาศูนย์ศัลยกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ASIT โรงพยาบาลพญาไท 3 จะมาอธิบายว่า อาการถ่ายเป็นเลือด เป็นสัญญาณของโรคใดบ้าง
ระดับความรุนแรงของการถ่ายเป็นเลือด
อุจจาระเป็นเลือด เกิดจากการขับถ่ายปกติที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน บางครั้งจะมีเลือดหยดหลังถ่ายอุจจาระออกมาแล้ว หรือเป็นอุจจาระที่มีเลือดอยู่ในนั้น ทำให้อุจจาระเป็นสีแดงแตกต่างจากปกติ ซึ่งการถ่ายเป็นเลือดแต่ละแบบ จะช่วยให้วินิจฉัยโรคออกมาได้ไม่เหมือนกัน เพราะสัญญาณนี้เป็นอาการของหลายโรค ไม่ใช่แค่เพียงโรคริดสีดวง ดังนั้นเมื่อมีอาการแล้วจึงควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด เพื่อผลดีกับตัวผู้ป่วยเอง
ถ่ายเป็นเลือด...บอกโรคอะไรบ้าง
ความรุนแรงของโรคที่มีอาการถ่ายเป็นเลือด สามารถดูจากจำนวนครั้งที่ถ่ายเป็นเลือดและปริมาณเลือดที่ออกมา ซึ่งคนที่มีเลือดออกมากจะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า หรือการมีเลือดหยดหลังจากถ่ายอุจจาระอาจเกิดจากบาดแผลที่เส้นเลือดดำส่วนปลายทวาร แต่หากอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายออกมามีเลือดอย่างเดียว นั่นหมายถึงการมีเลือดออกมากในลำไส้ใหญ่จากความผิดปกติบางอย่าง และนี่คือโรคที่มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- โรคริดสีดวงทวาร
การถ่ายเป็นเลือดเป็นอาการหลักของโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งเกิดจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำเนื่องจากท้องผูก ท้องเสีย ทำให้เส้นเลือดดำที่ปลายทวารหนักบวมและไม่ยุบลงไป เกิดเป็นตุ่มริดสีดวง บางคนที่ริดสีดวงอักเสบมากๆ จนหลุดออกมาด้านนอก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเวลาเดินหรือนั่งอย่างมาก หลังจากนั้นเวลาขับถ่ายก็จะมีเลือดออกมาเป็นหยดหลังการถ่าย หรือมีเลือดเปื้อนทิชชู่ตอนเช็ดทำความสะอาด ส่วนอุจจาระเป็นสีปกติ บางคนไม่รู้สึกเจ็บปวด อาการจะเป็นแบบเป็นๆ หายๆ แต่บางคนก็รู้สึกเจ็บบริเวณทวารหนัก คันบริเวณก้น และขับถ่ายลำบากร่วมด้วย
- โรคเส้นเลือดของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ
เกิดจากเส้นเลือดเส้นเล็กๆ มีจำนวนมากขึ้นผิดปกติ ทำให้เวลาขับถ่ายมีเลือดออกมาด้วยทั้งแบบก้อนและแบบน้ำเลือด โดยไม่มีอาการปวดท้อง โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 70 ปี ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคนี้บางคนเลือดจะหยุดได้เอง แต่ก็ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ เพราะอาการที่เกิดขึ้นมักแยกไม่ออกจากโรคอื่น
- ติ่งเนื้องอกลำไส้ใหญ่
เป็นเนื้องอกที่เกิดจากกรรมพันธุ์ผิดปกติ มักพบในผู้ชายมากกว่าเพศหญิงที่อายุมากกว่า 50 ปี และสามารถพัฒนาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยติ่งเนื้องอกนี้เกิดได้ทุกส่วนของลำไส้ใหญ่ มีรูปร่างกลม สีออกชมพู อาจมีก้อนเดียวหรือหลายก้อน โดยผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงให้เห็น แต่บางครั้งจะมีเลือดออกในลำไส้ใหญ่ ทำให้มีเลือดเคลือบผิวอุจจาระที่ขับถ่ายออกมา ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นๆ หายๆ โดยแพทย์มักแนะนำให้คนที่อายุมากกว่า 50 ปีตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจหาติ่งเนื้อที่อาจเกิดขึ้น
- ลำไส้ใหญ่อักเสบ
เกิดจากโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคบิดทั้งมีตัวและไม่มีตัว ซึ่งมีอาการสำคัญคือถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายบ่อยๆ มีไข้ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกร่วมกับมีเลือด หรือถ่ายเป็นเลือด ซึ่งต้องทำการรักษาต่อไป
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
เป็นมะเร็งที่พบบ่อยทั้งในไทยและทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในคนที่อายุมากกว่า 60 ปี โดยผู้ป่วยจะขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระมีเลือด เป็นต้น ผู้ป่วยบางคนมาหาหมอเพราะเสียเลือดจนเป็นโลหิตจาง ส่วนมากจะพบมะเร็งบริเวณลำไส้ใหญ่ในช่องท้องมากกว่าลำไส้ตรง มะเร็งชนิดนี้เกิดจากการรับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำและส่วนหนึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ มักรักษาไม่หายขาด ต้องใช้การส่องกล้องหรือวิธีอื่นเพื่อตรวจหาโรค และตัดเนื้อร้ายออกเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค