9 เรื่องต้องรู้: วิหารแพนธีออน
ทุกวันนี้ใครไปเยือนกรุงโรมก็ต้องหาโอกาสไปชมวิหารแพนธีออน แม้สร้างมาเกือบ 2,000 ปีแล้ว ก็ยังคงความอลังการพร้อมเรื่องราวต่าง ๆ ให้ศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบและสัดส่วนที่น่าตื่นใจ ความหรูหรา และความกลมกลืนที่อยู่แนวหน้าของสถาปัตยกรรมสำคัญ ๆ ในสมัยโรมัน
วิหารแพนธีออน ที่มาของภาพ
1. คำว่า แพนธีอัน หรือ แพนธีออน (Pantheon) เป็นภาษากรีก Πάνθεον แปลว่า “เกียรติศักดิ์แห่ง
ทวยเทพ” เพราะวิหารแห่งนี้เมื่อแรกสร้างนั้น มิได้จำเพาะเจาะจงว่า สร้างอุทิศหรือเป็นเกียรติแด่เทพองค์ใด เหมือนอย่างที่ชาวกรีกและโรมันนิยมทำกัน แต่วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อทวยเทพทุกองค์ (อาจเป็นความคิดที่ว่า แทนที่จะสร้างให้แต่ละองค์ ก็สร้างที่เดียวสำหรับทุกองค์เลยดีกว่า)
2. วิหารแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างสมัยโรมันโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด ซึ่งก็น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่า วิหารแห่งนี้รอดพ้นเงื้อมมือการปล้นสะดมของชนเผ่าที่ชาวโรมันเรียกว่า พวกป่าเถื่อน หรือ อนารยชน
( barbarian) มาได้อย่างไร ขณะที่สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ของโรมันล้วนแต่เสียหายกันไปมากน้อยนับไม่ถ้วน
ยิ่งกว่านั้นวิหารแห่งนี้ได้กลายเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์เมื่อ ค.ศ. 609 และแม้จะมีการต่อเติมเสริมขึ้นอีกไม่น้อยในสมัยหลัง แต่โครงสร้างอาคารโดยรวมยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ ที่จริงส่วนผสมที่นำมาใช้ในการก่อสร้างมีความคล้ายคลึงกับคอนกรีตสมัยใหม่มากเสียจนน่าประหลาดใจในวิทยาการก่อสร้างของโรมัน ยิ่งพูดในแง่ความคงทน วิหารแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่เดียวที่อยู่รอดปลอดภัยจากการทำลายของเวลาและแรงโน้มถ่วง ยังคงตั้งตระหง่านอวดความอลังการและสวยงามอยู่จนปัจจุบัน
3. เรากำหนดอายุที่แน่นอนของวิหารแห่งนี้ไม่ได้! น่าแปลกใจไหม เพราะตามตำนานโรมันกล่าวว่า วิหารแพนธีออนสร้างขึ้น ณ จุดที่โรมิวลุส (Romulus) ผู้ก่อตั้งกรุงโรม กลับขึ้นสวรรค์ แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า มาร์คุส วิปซานิอุส อากริปปา (Marcus Vipsanius Agrippa) ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของจักรพรรดิเอากุสตุส (Augustus) สร้างวิหารแพนธีออนหลังแรกขึ้นเมื่อปี 27 ก่อนคริสต์ศักราช แต่หลังจากเสียหายจากเหตุอัคคีภัยครั้งใหญ่ในกรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 80 จักรพรรดิโดมิเทียน (Domitian) ก็โปรดให้สร้างขึ้นใหม่ ต่อมาถูกฟ้าผ่าและไฟไหม้เสียหายอีกครั้งเมื่อ ค.ศ. 110 จนสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 3 เมื่อ ค.ศ. 120 โดยจักรพรรดฮาเดรียน (Hadrian) ผู้โปรดปรานงานสถาปัตยกรรม โดยทรงออกแบบร่วมกับ
อะพอลโลโดรุสแห่งดามัสกัส ( Apollodorus of Damascus) สถาปนิกเอกชาวกรีกในยุคนั้น จนเป็นวิหารแพนธีออนที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน...ว่ากันว่า สถาปนิกผู้นี้มีอันต้องสิ้นใจลงจากพระบรมราชโองการขององค์จักรพรรดิ เพียงเพราะทูลทักท้วงการออกแบบวิหารหลังนี้
ช่องกลมหรือโอคูลุส (oculus) บนยอดโดม ที่มาของภาพ
4. ส่วนที่น่าทึ่งที่สุดของวิหารแพนธีออนคือ หลังคาโค้งหรือโดมขนาดใหญ่ที่มีช่องกลมขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ช่องตา” หรือ โอคูลุส (oculus) บางคนก็เรียกว่า ดวงตาแห่งแพนธีออน ก็มี โดมแห่งนี้เคยครองตำแหน่งโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่นานถึง 1,300 ปี จนปัจจุบันยังคงเป็นโดมใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งปราศจากการค้ำยัน ด้วยเส้าผ่าศูนย์กลาง 43.30 เมตร (ขณะที่โดมของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง
96 เมตรเท่านั้น) และยังมีสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ เพราะระยะจากพื้นไปถึงยอดโดมนั้นเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของโดม คือ 43.30 เมตรพอดี
ความสำเร็จที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งคือ การถ่ายน้ำหนักโดมขนาดใหญ่ วิศวกรโรมันสร้างโดมให้มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากการลดความหนาลงทีละน้อย ๆ แล้ว วัสดุที่ใช้สร้างโดมยังมีน้ำหนักเบาและยังทำช่องว่างระหว่างผนังโดมทั้งสองด้านอีกด้วย
หลังคาโดมและโครงสร้างภายนอกวิหารมองจากมุมสูง ที่มาของภาพ
ส่วนช่องกลม หรือ โอคูลุส ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.8 เมตร บนยอดโดมนั้นเป็นแหล่งที่มาของแสงสว่าง และยังเป็นจุดเชื่อมโยงวิหารกับเหล่าเทพเบื้องบน แน่นอน ในเมื่อเป็นช่องว่าง ถึงหน้าฝนก็ย่อมมีน้ำฝนตกผ่านเข้ามาในวิหาร แต่พื้นวิหารก็ออกแบบให้ลาดเอียงและระบายน้ำออกไปจากตัวอาคาร
5. โครงสร้างภายในวิหารเป็นรูปทรงกระบอกครอบด้วยรูปครึ่งวงกลม (โดม) ไม่มีหน้าต่าง แต่ใช้โอคูลุสให้แสงสว่างภายในตัวอาคารแทน ภายในวิหารเป็นสถานที่ฝังศพของราฟาเอล (Raphael) จิตรกรผู้มีชื่อเสียง ตลอดจนกษัตริย์และกวีชาวอิตาลีอีกจำนวนมาก พื้นหินอ่อนที่มีลวดลายการออกแบบด้วยเส้นสายเรขาคณิตเป็นพื้นเดิมที่มีมาพร้อมวิหารแห่งนี้
เสาแบบโครินเธียนและจารึกที่จั่วหน้ามุขวิหารแพนธีออน ที่มาของภาพ
6. เสา (column) ที่มีหัวเสาแบบโครินเธียน (Corinthian) ที่ตั้งรับน้ำหนักหน้ามุขของวิหาร มีน้ำหนักต้นละ 60 ตัน สูง 11.8 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร เสาแต่ละต้นนำมาจากอียิปต์โดยชักลากมาเป็นระยะทางกว่า 100 กิโลเมตรจากเหมืองหินสู่แม่น้ำไนล์บนแคร่ไม้ ก่อนจะนำลงเรือล่องมาตามแม่น้ำไนล์ในช่วงที่ระดับน้ำขึ้นสูงระหว่างฤดูน้ำหลาก แล้วจึงเปลี่ยนมาบรรทุกในเรือพายข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนไปขึ้นบกที่เมืองท่าออสเตีย (Ostia) แล้วจึงนำลงเรือแล้วชักลาไปตามแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) สู่กรุงโรม
จั่วที่หน้ามุขของวิหารมีจารึกข้อความว่า M•AGRIPPA•L•F•COS•TERTIUM•FECIT แปลว่า
“สร้างโดยมาร์คอส อากริปปาในสมัยกงสุล ครั้งที่ 3 ของเขา” เป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ยังคงเหลืออยู่จากการก่อสร้างครั้งแรก ซึ่งจักรพรรดิฮาเดรียนตั้งพระทัยรักษาไว้เป็นเกียรติแด่บรรพชนของพระองค์ เพื่อมีการก่อสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นใหม่
7. ทุกวันที่ 21 เมษายน ของทุกปี จะเกิดปรากฏการณ์แสงขึ้นในเวลาเที่ยงวัน แสงแดดจะส่องกระทบลูกกรงโลหะเหนือประตู สาดส่องลานด้านนอกให้สุกสว่าง ทั้งนี้ ชาวโรมันถือว่าวันที่ 21 เมษายนเป็นวันที่สถาปนากรุงโรม (ตามตำนาน) เมื่อจักรพรรดิประทับที่ด้านหน้าประตูทางเข้าวิหารที่สว่างไสวไปด้วยแสงจากภายในก็อาจจะให้ผู้พบเห็นคิดไปได้ว่า จักรพรรดิได้รับการยกฐานะเสมอเทพ และกำลังจะเข้าไปร่วมในเทพยสภา
แสงอาทิตย์จากโอคูลุสที่ยอดโดมในมุมต่าง ๆ ตามช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนฤดูกาล ได้แก่ เหมายัน (winter solstice) ครีษมายัน (Summer solistice) วิษุวัตหรือจุดราตรีเสมอภาค (equinox) และวันที่ 21 เมษายน ที่มาของภาพ
8. ค.ศ. 609 วิหารแพนธีออนเป็นอาคารของลัทธินอกศาสนา (คริสต์) แห่งแรกที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์ ทำให้รอดจากการถูกทำลายในสมัยกลาง ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้อุทิศให้แด่พระแม่มารีและผู้พลีชีพเพื่อศาสนา (St. Mary of the Martyrs) กระนั้นแทบทุกคนก็ยังเรียกอาคารแห่งนี้ว่า วิหารแพนธีออน เหมือนเดิม
9. ด้านหน้าวิหารมีน้ำพุแห่งแพนธีออนอันงดงาม ออกแบบโดยสถาปนิกผู้มีชื่อเสียง กิอาโดโม เดลลา พอร์ต (Giacomo Della Porta) เมื่อ ค.ศ. 1575 สลักจากหินด้วยด้วยฝีมือของเลโอนาร์โด ซอร์มานี (Leonardo Sormani) เมื่อ ค.ศ. 1711 ต่อมาพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 11 (Pope Clement XI)
มีพระประสงค์จะเปลี่ยนแปลงน้ำพุแห่งนี้จึงโปรดให้ฟิลิปโป บาริโญนี (Filippo Barignoni) ออกแบบรูปลักษณ์ใหม่ มีอ่างน้ำที่ทำจากหินที่ต่างออกไป และนำเอาเสาโอเบลิสก์ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ตั้งอยู่กลางน้ำพุและมีรูปโลมา 4 ตัวประดับอยู่ที่ฐานน้ำพุ
น้ำพุแห่งแพนธีออน ที่มาของภาพ
หากได้ไปเยือนกรุงโรม ควรหาโอกาสไปสัมผัสความงามและยิ่งใหญ่อลังการของวิหารที่กล่าวกันว่า
เมื่อมิเกลันเจโล ( Michelangelo) ได้เห็นสิ่งก่อสร้างนี้ เขาถึงกับตกตะลึงและเชื่อในทันทีว่าเป็นฝีมือของเทวดา หาใช่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ไม่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://romeonsegway.com/10-facts-about-the-pantheon/
https://en.wikipedia.org/wiki/Pantheon,_Rome
โรมโบราณใน 30 วินาที: 30-Second Ancient Rome). (2560). แมทธิว นิโคลส์, บรรณาธิการ. ชัยจักร ทวยุทธานนท์, แปล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ยิปซี