7 การตลาด Online ที่จะทำให้คุณต้องเสียเงินไปฟรีๆ
ปัจจุบันการตลาดออนไลน์โตเร็วเป็นอย่างมาก และยังมีพ่อค้าแม่ค้าหลายๆคนที่ยังลองผิดลองถูกอยู่กับการขายบน Social Media หลายๆ คนเพจมียอดไลค์เยอะ แต่ยอดขายน้อยเพราะมีแต่ไลค์ขยะ หลายๆ คนเสียเงินปั้มไลค์ไปหลายบาทแต่กลับไม่มียอดขาย การลงโฆษณาบน Social Media ให้ประสบความสำเร็จนั้นประกอบด้วยหลายๆ ปัจจัย วันนี้เราจึงรวบรวม 7 ข้อที่นักการตลาดไม่ควรทำ ถ้าไม่อยากให้เงินของคุณเสียไปฟรีๆ
ในการลงทุนทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนทุกครั้ง ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเมื่อเราข้อมูลมาแล้วก็ต้องนำมา คิด วิเคราะห์ แล้วนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับเรา ไม่ใช่มานั่งคิดเอง มโนเอง ว่าแบบที่จะทำยอดขายให้เราได้พุ่งกระฉูด ตัววัดว่ามากหรือน้อย มันก็สะท้อนออกมาในตัวเลขข้อมูล Report ที่เราลงโฆษณาไป ถ้าเราเชื่อความคิดตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าเราก็เหมือนคนหลงทาง เอาเงินไปลงทุนโฆษณากับสิ่งที่ไม่คุ้มค่าอยู่ ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
2. นักการตลาดชอบทดลอง
เวลาที่เราทำโฆษณาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ ตัวอักษร, ภาพ หรือ Video เราไม่มีทางรู้ก่อนเลยว่าลูกค้าจะชอบชิ้นงานหรือไม่ หัวใจของมันก็คือหมั่นทดลอง จดจำ และไม่ล้มเลิกที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของคนไปเรื่อยๆ ถ้าเราลงโฆษณาแบบที่ 1 แล้วคนไม่ชอบ เราก็แค่ทดลองแบบที่ 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆ ทำให้เมื่อเราลองครบทุกอย่างแล้ว เราก็จะรู้สูตรสำเร็จว่าอะไรดี ไม่ดี แต่แน่นอนวิธีนี้ต้องอาศัยความอดทน เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมากจนกว่าจะประสบความสำเร็จ สู้คุณเอาเวลาไปบริหารงาน และไปจ้างคนมีประสบการณ์มาทำน่าจะดีกว่า
3. นักการตลาดใจป้ำ
เป็นการนำเงินก้อนใหญ่ไปลงโฆษณาแบบไม่สนใจ Target หรือ Traffic อะไรเลย เพราะเห็นว่าโลก Online มีลูกค้าอยู่เยอะ เลยจะโยกเงินจากสื่อ Offline ทั้งหมดมาลงใน Online กะจะยิง Mass แต่หารู้ไม่ว่า วิธีนี้เป็นวิธีการผลาญเงินที่เร็วไวมาก เพราะวิธีการคิดเงินในโลก Online มันไม่เหมือนกับใน Offline สมมุติใน Facebook, Google คนแค่เห็นโฆษณาเราผ่านๆ หรือคนไปคลิกโฆษณาของเรา นักโฆษณาก็เสียเงินเลยทันที ไม่เหมือนกับใน Offline ที่เราซื้อช่วงเวลาได้แน่นอน ราคาจ่ายต่อนาทีที่โฆษณาเราแสดงก็มีเรทราคาแน่นอน ดังนั้น ใครจะเข้ามาลงโฆษณาบนโลก Online ไม่ว่าจะเงินมาก เงินน้อย ต้องศึกษาเรื่องการทำ Targeting ไว้ให้ดีก่อนทั้งนั้น
4. นักการตลาดหว่านเสน่ห์
หลายๆ คนจะรู้ว่าแต่ก่อนตอนลงโฆษณาบน TV เราเลือกได้แค่ว่า จะลงโฆษณาขนม ของเล่น วันเสาร์อาทิตย์ ตอนเช้า เพราะเด็กๆ ดูเยอะ จะลงโฆษณาสินค้าช่วงมีละครทีวี ให้แม่บ้านดูกัน แต่ในโลก Online เราสามารถเลือกอายุ หรือเพศ ได้เลยว่า จะลงไปที่เด็กอายุ 13-20 ปี หรือลงไปที่เพศชาย หรือหญิงเท่านั้นก็ได้ ทำให้นักการตลาดเกิดอาการ แบ่งเงินหลายก้อน ลงไปในหลายกลุ่ม Target ที่สามารถ Customize ขึ้นมาได้ เลยจะส่งผลให้เม็ดเงินโดนกระจายมากเกินไป โฆษณาก็ไม่ค่อยแสดงผลได้อย่างเต็มที่ การแบ่ง Target แบ่งได้ แต่อย่าซอยย่อยซะจนเหลือเงินไม่พอกับการลงโฆษณาของเรา
5. นักการตลาดคิดว่า Online ก็เหมือนกับ Offline
เมื่อ Technology มันพัฒนาขึ้น พฤติกรรมคนจากที่ดู TV ฟังวิทยุ ก็ย้ายไปท่อง Internet เล่นเว็บไซต์ Mobile App แทน ระบบโฆษณาใน Facebook, Google หรือที่อื่นๆ ก็มีการพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน ทำให้เรามี Tools ต่างๆที่ช่วยให้เราลงโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการที่จะใช้ Tools เหล่านั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้ง นักทำ SEO, IT และ Programmer เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผลทำให้ยอดขายของเราเติบโตไปด้วย
6. นักการตลาดไม่รู้จักลูกค้า
ก่อนที่จะมีการโฆษณาใดๆ กลุ่มเป้าหมายคือสิ่งที่ควรจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ เราต้องจำกัดกลุ่มลูกค้าลงไปให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่รู้ว่า เป็น ชาย หรือ หญิง อายุเท่านั้น แต่ต้องลงลึกไปถึงความสนใจของลูกค้าของเราด้วย อาจจะเกิดจากการวิจัย การหาข้อมูล หรือเทคนิคง่ายๆคือ ให้ลงโฆษณาไปหลายๆ กลุ่มลูกค้าเลย เอาสิ่งที่เราคิดว่าเกี่ยว แบ่งเพศ แบ่งช่วงอายุ เช่น เราอยากรู้ว่า สินค้านี้ ชาย หรือ หญิงที่สนใจกันแน่ ก็แยกลงโฆษณา 2 ตัวแบบเหมือนกันไปเลยครับ แล้วดูว่า 1 วันที่ผ่านมา ผลตอบรับเป็นอย่างไร ถ้าต้นทุนต่อคลิ๊กถูกแสดงว่าโดนแน่นอน ก็ยกเลิกโฆษณาตัวที่มีต้นทุนแพงทิ้งไป ง่ายๆ แค่นี้แถมได้ประหยัดตังด้วย
7. นักการตลาดคอนเทนท์ห่วย
นอกจากเราจะรู้กลุ่มเป้าหมายแล้ว คอนเทนท์หรือบทความที่ต้องการสื่อสาร ก็ต้องดีด้วย มันต้องโดนใจตั้งแต่แรกคนจึงจะคลิ๊กเข้ามา ไม่งั้นมันจะมีคนเข้ามาสนใจได้อย่างไร รูปภาพต้องสวย ต้องสื่อ ต้องน่าค้นหา หรือให้คิดว่าลูกค้าเห็นแล้วมันจะดีต่อเขาอย่างไร เขาถึงจะเข้ามาดู และที่สำคัญการใช้ VDO ในการลงโฆษณาเป็นสิ่งที่ได้ผลตอบรับมากที่สุด และมีต้นทุนที่ถูกกว่าอีกด้วย