ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2561
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2561จะเป็นอย่างไร ต้องมาดูจากข้อมูลที่สำรวจโครงการจัดสรรประมาณ 2,000 แห่งแล้วประมวลภาพรวมที่ชัดเจนให้พิจารณาอย่างถ่องแท้เท่านั้น
ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) นำเสนอผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2561 ณ โรงแรมเอส 31 ถ.สุขุมวิท จึงขอสรุปไว้ดังนี้:
ว่าด้วยการสำรวจ
การสำรวจนี้ได้ไปเยี่ยมเยียนโครงการต่าง ๆ ที่กำลังขายกันอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึง 1,949 โครงการ (เพิ่มจากเมื่อสิ้นปี 2559 ที่ 1,837 โครงการ แสดงว่าการขายอืดลง เหลือโครงการที่รอขายมากขึ้น) และในจำนวนนี้มี 1,278 โครงการ (1,246 โครงการเมื่อสิ้นปี 2559) ที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่ถึง 20 หน่วยขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมีขนาดใหญ่ที่สุดในนครหลวงต่าง ๆ ทั่วอาเซียน ทั้งนี้อันดับสองคือกรุงจาการ์ตามีโครงการที่กำลังขายอยู่เพียง 411 แห่งเท่านั้น
นอกจากนี้ในการสำรวจนี้ยังรวมถึงโครงการที่เปิดใหม่ในปี 2560 อีก 410 โครงการอีกด้วย โดยในแต่ละโครงการ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้เข้าไปสำรวจถึงที่ตั้งในทุกโครงการที่เปิดใหม่ และไปสำรวจการเปลี่ยนแปลงในการขายและการตลาดทุกรอบไตรมาสอีกด้วย การสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ นี้จึงถือเป็นการสำรวจที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุด และการนำเสนอข้อมูลในวันนี้จึงเป็นการนำเสนอข้อมูลที่เป็น First Hand Information ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน
การสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ นี้ สำรวจข้อมูลในฐานะผู้ที่จะซื้อบ้านหรือทรัพย์สิน ไม่ได้ไปในฐานะเจ้าหน้าที่ และศูนย์ข้อมูลฯ ก็ไม่ได้เป็นนายหน้าหรือไม่ได้พัฒนาที่ดินเอง จึงตั้งใจนำเสนอข้อมูลที่เที่ยงตรงเป็นกลางที่สุด โดยไม่เข้าข้างหรือให้ร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศูนย์ข้อมูลฯ ยังไม่มีกรรมการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่จะล่วงรู้ข้อมูลก่อนบุคคลอื่น และการสำรวจนี้ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงครอบคลุมโครงการ (แทบ) ทั้งหมด ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด และเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงได้มากที่สุดในประเทศไทย ยิ่งกว่านั้นศูนย์ข้อมูลฯ ยังสำรวจต่อเนื่องทุกเดือนและ update สถานการณ์การขายทุกครึ่งปี มาตั้งแต่ปี 2537
การเปิดตัวโครงการใหม่
ข้อค้นพบสำคัญที่พลิกจากข้อสรุปในอดีตที่ผ่านมาก็คือ
1. จำนวนโครงการเปิดใหม่ปี 2560 จำนวน 402 โครงการ ลด 51 โครงการ (-11.3%) จากปี 2559 ถ้าดูจากจำนวนโครงการแสดงว่าปี 2560 ตกต่ำกว่าปี 2561 อย่างชัดเจน
2. แต่จำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ปี 2560 จำนวน 114,477 หน่วย เพิ่ม 3,900 หน่วย (3.5%) จากปี 2559 ซึ่งแสดงว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในแง่หน่วยขายที่เพิ่มขึ้นเท่านี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
3. อย่างไรก็ตามมูลค่าโครงการปี 2560 จำนวน 441,661 ล้านบาท เพิ่ม 59,551 ล้านบาท (15.6%) จากปี 2559 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นับเป็นการเปิดตัวมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ปี 2537 ที่สำรวจปีแรก (24 ปีที่ผ่านมา)
4. ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 3.859 ล้านบาทในปี 2560 เพิ่ม (11.6%) จากราคา 3.456 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 อย่างชัดเจน
การแยกแยะตามกลุ่มที่อยู่อาศัย
ในที่นี้แยกแยะออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และอาคารชุดพักอาศัย ผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย พบว่า
ในกลุ่มบ้านเดี่ยว ปรากฏว่าหน่วยขายเปิดใหม่ทั้งปี 2560 จำนวน 10,217 หน่วย ลด 1,929 หน่วย (-19%) จากปี 2559 มีอุปทานเหลือขาย 36,971 หน่วย ลดลง 2,556 หน่วย (-6.5%) จากสิ้นปี 2559 ขายได้ปี 2560 จำนวน 12,773 หน่วย เพิ่ม 328 หน่วย (3%) จากปี 2559
ในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ ปรากฏว่า หน่วยขายเปิดใหม่ทั้งปี 35,462 หน่วย เพิ่ม 5,530 หน่วย (14%) จากปี 2559 อุปทานเหลือขาย 62,571 หน่วย เพิ่ม 7,917 หน่วย (15%) จากสิ้นปี 2559 ขายได้ปี 2560 จำนวน 27,545 หน่วย เพิ่ม 3,268 หน่วย (14%) จากปี 2559
ส่วนในกลุ่มคอนโดมิเนียม พบว่าหน่วยขายเปิดใหม่ 63,626 หน่วย เพิ่ม 5,276 หน่วย (9%) จากปี 2559
อุปทานเหลือขาย 76,790 หน่วย เพิ่ม 6,992 หน่วย (10%) จากสื้นปี 2559 ขายได้ปี 2560 จำนวน 56,634 หน่วย เพิ่ม 733 หน่วย (1%) จากปี 2559
โดยสรุปแล้วอุปสงค์ทั้งปี โดยรวมเพิ่มขึ้น 5,426 หน่วย หรือ 5.5% จากปี 2559
การจองซื้อยังเหมือนเดิม
ในการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ไปเยี่ยมชมโครงการต่าง ๆ นั้น ได้ประมาณการจำนวนหน่วยขายที่มีผู้จองซื้อ ณ วันที่สำรวจด้วย อย่างไรก็ตามการจองซื้อนี้อาจจะยังไม่ได้โอนในวันนี้ แต่เป็นการจองซื้อที่น่าเชื่อถือได้ว่าจะมีการโอนในอนาคต และศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ก็มีการสำรวจต่อเนื่องทุกไตรมาสข้อมูลนี้จึงน่าเชื่อถือพอสมควร อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา มีการจองซื้อจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้โอนจริงเนื่องจากผู้จองซื้อขาดคุณสมบัติในการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน
ผลการสำรวจพบว่ายอดซื้อในปี 2560 จำนวน 103,579 หน่วย เพิ่ม จากปี 2559 จำนวน 5,426 หน่วย หรือ (5.5%) ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่า สถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่ลงกว่าปี 2559 ยังคงมีคนจองซื้อที่อยู่อาศัยที่นำเสนอออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการจองซื้อนี้ยังต่ำกว่าการเปิดขึ้นของโครงการในแต่ละปีที่ 110,000 หน่วย แสดงให้เห็นว่าอุปทานสะสมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อุปทานสะสมน่ากลัว
อุปทานคงเหลือสะสม คืออุปทานที่ยังอยู่ในมือของผู้ประกอบการ แต่ยังไม่ได้ขาย ใช่ว่าจะขายไม่ออก หรือไม่ประสบความสำเร็จในการขาย เพียงแต่ ณ ห้วงเวลาที่สำรวจ ผู้ประกอบการยังถืออยู่ ยังไม่มีผู้จองซื้อแต่อย่างใด อุปทานส่วนนี้สะท้อนภาวะตลาดได้ดี แสดงถึงสุขภาพที่ดีหรือไม่ของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้
ผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย พบว่า ณ สิ้นปี 2560 อุปทานคงเหลือเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2559 ประมาณ 5.9% คือเพิ่มจาก 184,329 หน่วย ณ สิ้นปี 2559 เพิ่มเป็น 195,227 หน่วย (เพิ่ม 10,898 หน่วย) ถ้าปีหนึ่งๆ มีการผลิตที่อยู่อาศัยใหม่ออกมาประมาณ 110,000 หน่วย ปริมาณ 195,227 หน่วยนี้ จะยังพอขายต่อไปได้อีกเกือบ 2 ปี หรือราว 21 เดือน โดยไม่ต้องเปิดใหม่เลยทีเดียว การสะสมของหน่วยขายคงเหลือเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะในขณะที่แต่ละบริษัทเร่งเปิดขายสินค้าใหม่ แต่ยังมีสินค้าเดิมรอการขายอยู่เป็นจำนวนมาก อาจสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการเองในเวลาต่อมา
สัญญาณอันตราย สินค้าหยุดการขาย
สินค้าที่หยุดการขาย คือสินค้าที่แสดงให้เห็นถึงภาวะที่ย่ำแย่ ไม่สามารถขายออกได้ เป็นดัชนีสำคัญอันหนึ่งของตลาดที่อยู่อาศัย จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย พบว่า
1. ณ กลางปี 2560 มีจำนวน 179 โครงการ 45,499 หน่วย มูลค่า 117,984 ล้านบาท
2. ณ สิ้นปี 2560 มีจำนวน 189 โครงการ 50,799 หน่วย มูลค่า 131,925 ล้านบาท
3. จำนวนโครงการที่หยุดขายเพิ่ม 10 โครงการ (6%)
4. หน่วยขายเพิ่ม 5,300 หน่วย (12%)
5. มูลค่าเพิ่ม 13,941 ล้านบาท (12%)
อาจกล่าวได้ว่าจำนวนโครงการที่จะ "เจ๊ง" เพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าหากไม่มีการควบคุมอุปทาน ก็อาจทำให้ "พากันลงเหว" ได้
สำหรับสาเหตุของการหยุดการขาย เป็นดังนี้:
อันดับบริษัทพัฒนาที่ดิน
ณ สิ้นปี 2560 ในการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์พบว่า
1. สำหรับภาพรวมของทั้งตลาด ณ สิ้นปี 2560 พบว่า บริษัทมหาชนและบริษัทในเครือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 70% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด บริษัทเล็กๆ มีส่วนแบ่งตลาดน้อยเพียง 30% เท่านั้น ตลาดได้รับการครองครองโดยรายใหญ่ ๆ ในตลาด
2. สำหรับโครงการที่เปิดตัวใหม่เฉพาะในปี 2560 พบว่าบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 78% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด บริษัทเล็กๆ มีส่วนแบ่งตลาดน้อยเพียง 22% เท่านั้น นี่แสดงว่าบริษัทมหาชนรุกคืบครอบงำบริษัทนอกตลาดอย่างชัดเจน
3. ในจำนวนหน่วยเหลือขาย 195,227 หน่วยนั้น เป็นของบริษัทมหาชน 132,002 หรือประมาณ 68% แสดงว่าสินค้าของบริษัทมหาชนขายได้ดีกว่าบริษัททั่วไปอยู่ในระดับหนึ่ง บริษัทนอกตลาดจำนวนหนึ่งจะประสบปัญหามากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หากจัดอันดับการพัฒนาที่ดินจะพบว่า บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ยังคงเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด ถึง 54 โครงการ 19,874 หน่วย รวมมูลค่าถึง 51,504 ล้านบาท ถือเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนหน่ยวยนี้มีขนาดถึง 17.4% ของทั้งตลาด ส่วนมูลค่าก็เป็นประมาณ 11.7% ของทั้งตลาดเช่นกัน
บริษัทอันดับที่สองคือ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งถึงแม้จะเปิดตัวโครงการน้อยกว่าถึงหนึ่งเท่าตัว (27 โครงการ) และมีจำนวนหน่วยเพียง 10,150 หน่วย ต่ำกว่าจำนวนหน่วยของ บมจ.พฤกษาถึงเกือบเท่าตัวเช่นกัน แต่มูลค่าการพัฒนาแทบไม่แตกต่างกันเลย คือพัฒนามากถึง 50,590 ล้านบาท โดยเฉลี่ยหน่วยหนึ่งพัฒนาเป็นเงิน 5 ล้านบาท ในขณะที่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท พัฒนาในราคา 2.6 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับอันดับที่ 3 คือ บมจ.แอลพีเอ็นดีเวลลอปเม้นท์ ในแง่จำนวนหน่วย คือ 6,336 หน่วย รวมมูลค่า 16,485 ล้านบาท (หน่วยละ 2.6 ล้านบาท) แต่ในแง่มูลค่ากลับเป็นของ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่พัฒนาถึง 36,494 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่พัฒนาสินค้าราคาแพง มีสัดส่วนในตลาดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
อย่างไรก็ตามบริษัท 10 อันดับแรกครองส่วนแบ่งตลาดถึง 58% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด หากคิดตามมูลค่าก็จะสูงถึง 58% เช่นกัน
ตลาดเกิดฟองสบู่หรือไม่
อันที่จริงจากเศรษฐกิจปี 2555 ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เติบโตถึง 7.1% ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจดี ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2556 เติบโตอย่างมาก แต่หลังจากนั้น ก็พบว่าอุปทานที่อยู่อาศัยนับแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ค่อนข้างคงที่โดยเฉพาะในจำนวนหน่วยขายที่เปิดใหม่ แสดงว่าความต้องการที่อยู่อาศัยไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ยังคงเพิ่มขึ้นตามปกติคือปีละประมาณ 110,000 หน่วย
อย่างไรก็ตามในปี 2558 เป็นปีแรกที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดคือ มูลค่าโครงการกลับเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาแพงมากขึ้น ในปีดังกล่าว ราคารถหรูกลับขายดีกว่าราคารถทั่วไป ปรากฏการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ประชาชนในระดับล่างจะมีความสามารถในการซื้อที่จำกัดลง แต่ประชาชนในระดับบนยังมีกำลังซื้ออยู่ แม้ปี 2539 มูลค่าการเปิดตัวจะลดลงอย่างชัดเจน แต่ในช่วงปี 2558-2560 ราคาบ้านเฉลี่ยก็ที่ประมาณ 3.5 ล้านบาทในปี 2559 ก็ยังสูงกว่าราคาบ้านเฉลี่ยที่ 3.0 ล้านบาทในช่วงปี 2554-2557 อย่างชัดเจน ยิ่งในปี 2560 ราคาบ้านเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 3.9 ล้านบาท ยิ่งแสดงให้เห็นชัดถึงการเติบโตของบ้านที่มีราคาเฉลี่ยสูงขึ้น
ในปี 2561 คาดว่าตลาดยังคงไปในทิศทางเดิมคือ จำนวนหน่วยไม่เพิ่มขึ้น แต่มูลค่ายังเพิ่มสูงขึ้น เพราะตลาดระดับบนยังสามารถขายได้ ก็จะทำให้เกิดฟองสบู่ต่อเนื่อง การที่ตลาดยังโตเนื่องจากไม่มีการควบคุมอุปทาน ผู้ประกอบการรายใหญ่อาศัยหุ้นกู้ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำมาเปิดขายโครงการมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่สินค้าหรืออุปทานคงเหลือก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน และหากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็อาจทำให้ตลาดเกิดภาวะฟองสบู่แตกในปี 2562-3 ได้ ผู้เกี่ยวข้องจึงพึงระมัดระวัง
ที่มา: https://goo.gl/nNxwdV
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ทนายสายหยุด ยอมรับสลิปโอนเงินของ "นานา" เป็นของปลอม
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทนายสายหยุด ยอมรับสลิปโอนเงินของ "นานา" เป็นของปลอม






