[18+] แชร์ประสบการณ์ เมื่อผมไปตรวจเลือดเจอซิฟิลิส กับ*ประสบการณ์การฉีดยาที่ทรมาน
จากที่เกย์คนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างปกติไม่เคยสนใจเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์
หลายคนในกลุ่มชายรักชายคงเข้าใจดีเรื่องความอยากรู้ อยากลองมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายสักครั้ง
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่อยากลองเพื่อที่จะรู้ว่ามันรู้สึกยังไง มันแตกต่างจากการช่วยตัวเองหรือไม่ !!
จึงทำให้ผมโหลด Social app ของกลุ่ม Gays เพื่อค้นหาคนที่ถูกใจและนัดเจอ เพื่อมี ** เพศสัมพันธ์ ** ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ผิดอย่างมหันต์ด้วยความที่ผมเพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน มีรายได้ที่สามารถหาได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้หาเกย์บางคนที่รับงาน (ขายบริการ) เพื่อมาทำกิจกามกันในราคาไม่เกิน 1,xxx
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นครั้งแรกที่ผมมีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย และเซฟตัวเองด้วยการใส่ถุงยางอนามัย โดยไม่มีการออรัลและการจูบใดๆ ทั้งสิ้น แล้วผมก็ลบแอพเหล่านั้นทิ้งไป จากนั้นประมาณ 3 เดือนผมก็เกิดความอยากรู้อยากลองสัมผัสความรู้สึกนั้นอีก จึงทำให้กลับมาเล่นและหากลุ่มที่รับงานอีก
ครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เช่นเคยครับ ผมใส่ถุงยางอนามัยก่อนทำกิจกาม แต่ครั้งนี้เรามีการจูบและออรัลกัน เพื่อกระตุ้นอารมณ์
เมื่อเสร็จกิจ ต่างก็แยกย้ายกันไป .. แต่เจ้ากรรมนายเวรเหมือนตามเราเจอและเราก็ไม่อาจปฏิเสธเค้าได้ ด้วยความขี้อ้อน ความตื้อ ของเด็กรับงานคนที่ สอง ทักกลับมาหาผมเพื่อจีบ และอยากจะขอคบกันแบบจริงๆจังๆ โดยที่เราไม่ได้สืบหรือรู้เกี่ยวกับประวัติของคนๆนี้มาก่อน แล้วผมก็คุยกับคนนี้ไปเรื่อยๆหลายวันจนตัดสินใจ คบกันแบบจริงๆจังๆ ชายคนนี้ดูภายนอกเป็นคนสะอาด ผิวขาว หน้าตาจัดว่าดี ดูไม่เหมือนคนติดเชื้ออะไรเลยสักนิด
เมื่อคบกันแน่นอนว่าต้องมี เพศสัมพันธ์กัน ผมป้องกันอย่างรัดกุมทุกครั้ง ทั้งๆที่บางครั้งเค้าอยากให้เราสดด้วย ทั้งสองคนยังคบกันอยู่จนกระทั่ง
23 กรกฎาคม 2560 ผมมีปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แน่นอนว่าต้องมีเหล้า เบียร์ ก็เพื่อนๆเจอกันทั้งทีนี่เนอะ .. ผมดื่มจนเมา งานเลี้ยงเลิกราราวๆ ตี 3 กลับบ้านทั้งที่เมาๆ พอถึงบ้านปรากฏว่าที่บ้านล็อก และเจ้าตัวดันมีแค่กุญแจรถ จึงจะไปนอนที่ห้องแฟน ซึ่งเค้าดูเป็นห่วงเราและให้ไปนอนที่ห้องเค้าก่อนก็ได้
เมื่อไปถึงที่ ผมก็แทบจะหมดสติ คือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จนตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองเปลือยอยู่และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ รู้สึกเจ็บแสบที่ก้น
ใช่ครับ นั่นคือครั้งแรกของผมที่แฟนจับผมเป็นรับ และยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมเข้าห้องน้ำและพบร่องรอยน้ำกามจากทวารหนักของผม
ผมจึงตัดสินใจปลุกเค้าเพื่อสอบถามความจริง และคำตอบที่ได้ก็คือ อยากสดด้วย จะได้เป็น ผัวเมีย กันเต็มตัวสักที
พอได้คำตอบที่ค่อนข้างไร้สาระสำหรับผม บวกกับเป็นช่วงบ่ายที่ใกล้เข้างานพอดีจึงตัดสินใจไปทำงานตามปกติ และอีกไม่กี่วันถัดมา
เค้าบล็อกไลน์ เปลี่ยนเบอร์ ลบเฟส ทำให้ผมติดต่อไปไม่ได้จนไปหาที่ห้อง หลายๆวันก็ไม่เจอ ติดต่อก็ไม่ได้ ใจก็กังวลเรื่องโรคต่างๆนาๆ
ไหนจะกังวลเรื่องการเลิกรากัน จนทำให้ผมตัดสินใจลางานและไปดักเจอที่หน้าห้อง และได้เจอจริงๆ แต่เค้าเดินมาพร้อม คู่ขาคนใหม่
ชายคนนั้นมองผมแบบอึ้งๆเหมือนเคยเห็นผม และอดีตแฟนก็ให้คู่ขาคนใหม่ของเค้าไปรอที่ห้อง บอกว่าจะคุยธุระแปปนึง
เราคุยกันไม่นานก็ทำให้รู้ตัวว่า โดนเยแล้วทิ้ง ราวกับว่า ทำให้เหยื่อติดกับและเชือดได้แล้วก็ทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
หลังจากถูกบอกเลิกแล้วแบบ สตั้นท์ไป 3 วิ (เหมือนถูกแพนด้าในเกม ROV คอมโบใส่เลยมั้ง 5555 คอมโบชุดเดียวแทบถึงตาย)
เราก็กลับมาอยู่กับตัวเอง เลิกคุยกับพวกเกย์ แล้วหันมาดูแลสุขภาพคือ ออกกำลังกาย ซื้อวิตามินมากิน และไม่ได้นึกถึงเรื่องเชื้อไวรัสที่อาจติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผมดำเนินการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ผมเริ่มมีอาการไข้ขึ้น 41 องศา ปวดศรีษะและบริเวณท้ายทอย คิดว่าตัวเองเป็นไข้หวัดใหญ่และความดันผิดปกติ จึงไปคลีนิค ฉีดยา 1 เข็ม อาการค่อยๆดีขึ้น จนปกติ และก็กลับมามีไข้สูงอีก เป็นๆหายๆ อยู่ 2 สัปดาห์
มีอยู่วันหนึ่งคือ หายจากไข้สูงมาแล้วสามวัน ปรากฏผื่นแดงขึ้นเต็มตัว หาดูอาการตาม google วินิจฉัยด้วยตัวเองก่อนว่าเป็น โรคหัด
เนื่องจากอาการต่างๆมีลักษณะเหมือนกันหมด คือ มีไข้สูง มีน้ำมูก เจ็บคอ แต่พ่วงมาอีกอย่างคือ ปวดศรีษะและท้ายทอยมาก จนแทบไม่อยากจะพยักหรือส่ายหน้า มีต่อมน้ำเหลือง(หรือเปล่าไม่แน่ใจ) บวมที่ท้ายทอย คลำแล้วรู้สึกได้ว่ามันนิ่มๆไม่เจ็บ อาการเป็นอยู่ 3 วัน ก็หายไป
และไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นอีกเลย ตอนนั้นก็ยังไม่ได้นึกเอะใจอยู่ดี จนกระทั่ง .. 27 พฤศจิกายน 2560
.. มีผื่นแดง ไข้สูงกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้มีผื่นแปลกประหลาดมาด้วยคือ มีตุ่มแดงๆ ขึ้นที่ข้อมือด้านเส้นเอ็นข้างซ้าย ประมาณ 3 ตุ่ม
และมีจุดจางๆที่ ฝ่ามืออีก 2 จุด คิดว่าคงเป็นตัวหมัดหมา เพราะแถวบ้านเลี้ยงหมาหมด บวกกับช่วงนี้ฝนตก อากาศเย็น หมัดคงจะออกมา
( ไม่รู้ไปเอาแนวคิดโลกสวยมาจากไหน ) ผมก็ไปทำงานทั้งที่มีผื่นและตุ่มแดงปรากฎอยู่นี่แหละครับ วันถัดมาตุ่มขึ้นอีกหลายที่ และขึ้นทั้งสองข้างพี่ที่ทำงานทักว่า เป็นเอดส์รึป่าว หน้าดูซูบลงไปนะ ** คือผมเป็นคนจัดฟัน อยู่ในช่วงดึงฟันเข้าเลยคิดว่าแก้มดูโหลยๆก็คงไม่ผิดปกติอะไร
สรุปเริ่มนับตุ่มที่ขึ้นในวันที่ 28/11/60 ที่แขนทั้งสองข้างปรากฏ 10 จุดด้วยกัน
-เริ่มมีขึ้นที่ฝ่าเท้า ข้างละ 3 จุด
-ขึ้นที่คอ ข้างละ 2
-ขึ้นที่ลำตัว 1
และบริเวณ ขาหนีบอีก ฝั่งละ 2-3 จุด
(สังเกตุว่าตุ่มแดงๆจะขึ้นตามลำตัว โดยมีความสมดุลย์กัน คือ มีตุ่มเท่าๆกัน และบริเวณใกล้เคียงกัน เสมือนนำแขนไปส่องกระจก ก็จะเจอเงาสะท้อนที่มีลักษณะตุ่มขึ้นเหมือนๆกัน)
หลังจากเชื้อเริ่มแสดงอาการ ผมเลยค้นหาข้อมูลโรคติดต่อทาง พสพ. และก็พบว่า มีอาการคล้าย "ซิฟิลิส"
ที่บอกว่ามีอาการคล้าย เพราะ ซิฟิลิส มีลักษณะเลียนแบบทั้งโรคหัด และผื่นลมพิษ (แต่จะไม่นูนหนา เป็นปื้นเหมือนลมพิษ)
ซิฟิลิส อาการจะมี 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 คือ ระยะเป็นแผลริมแข็ง ( หาข้อมูลได้ที่ https://medthai.com/ซิฟิลิส/ และ google.com )
= ตรงกับอาการมีแผลที่ขอบรูทวารหนักของผม คลำได้แข็งๆ ไม่เจ็บ แต่ชะล่าใจไม่ดูแลตรงส่วนนั้น แผลจึงแตก ทำให้แสบ
เข้าห้องน้ำได้ปกติ แต่จะลำบากตอนโดนน้ำ
ระยะที่ 2 คือ ระยะเข้าข้อออกดอก (ระยะที่ตัวผมกำลังเป็นอยู่)
= ก็ปรากฎลักษณะของโรคเช่นกัน คือ เกิดผื่น และตุ่มแดงๆ ส่วนใหญ่ขึ้นตามฝ่ามือ ข้อมือ-แขน ฝ่าเท้า และจุดอับชื้น
ไม่สบาย มีไข้ต่ำแต่จะมีบ่อยๆ น้ำหนักตัวลด อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ ผมร่วง ขนคิ้วหลุด
(30/11/60 ผมอาบน้ำสระผมและพบว่า มีผมติดอยู่กับมือนับไม่ได้ คือเห็นแล้วตกใจเพราะหลุดมาเยอะ ล้างหน้าแล้วมองกระจกเป็นขนคิ้วหลุด 3 เส้น เลยทำให้ต้องไปรับการรักษาอย่างจริงจัง)
ระยะที่ 3 คือ ระยะแฝง (เชื้อจะแพร่ไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย เตรียมตัวเข้าสู่ระยะสุดท้าย ระยะทำลาย)
= คือระยะที่ไม่มีการแสดงอาการใดๆเลย ดูเหมือนคนปกติทั่วไป เพราะเชื้อจะเลิกแสดงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช แล้วหันไปแพร่ลูกหลาน
ให้กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงกระดูก และสมอง หัวใจ อวัยวะภายในที่สำคัญๆด้วย !! ระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่
เชื้อได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์
(ซึ่งอดีตแฟนของผม เลี้ยงเชื้อถึงระยะนี้แล้วนี่เอง)
ระยะที่ 4 คือ ระยะสุดท้าย เรียกว่า ระยะทำลาย
= คือเชื้อจะเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาต บ้านหมุน เดินเซ ชัก ความจำเสื่อม ตามัว ตาบอด หูตึง หูหนวก
บุคลิกภาพเปลี่ยนไป อาจเสียสติ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ บางคนจมูกโหว่เลย ( หาดูในเน็ตเองนะครับ ระดับนี้คือรุนแรงมาก )
30/11/60 พบว่า สระผมแล้วมีเส้นผมติดมือเยอะมาก จึงยิ่งแน่ใจไปอีกว่า ซิฟิลิสแน่เลย จึงตัดสินใจลางานในวันที่ 1/12/60 (วันนี้นี่เอง)
ผมตัดสินใจไปตรวจที่ รพ.รัฐบาล โดยขอตรวจ ทางพยาบาลก็จะมีเอกสารให้อ่านและแบบฟอร์มให้กรอก ลงลายมือชื่อเพื่อยืนยันขอรับการตรวจ(ตรงนี้จะเสียเงินนะครับ ถ้าเราขอตรวจเอง) พยาบาลผู้ซักประวัติ คิดว่าผมเป็นเอดส์เลยส่ง เคาน์เซลลิ่ง ตรวจเอดส์อย่างเดียว
และให้ไปหาพยาบาลอีกคนที่หน้าห้องตรวจ เพื่อยืนยันขอตรวจ พยาบาลก็ถามถึงโรคว่าเข้าใจหรือเปล่า อาการของเอดส์เป็นยังไง ซึ่งจากที่ผมหาข้อมูล และอาการที่แสดง เข้าข่าย ซิฟิลิสมากกว่า จึงบอกเค้าว่า ผมเสี่ยงที่จะเป็นซิฟิลิสมากกว่าเอดส์ครับ แล้วพยาบาลก็บอกว่า ถ้าจะตรวจซิฟิลิสก็ได้ แต่มีค่าใช้จ่ายนะ เอดส์ 250 ซิฟิลิส 60 ค่าตรวจ/แลป 50 แต่โชคดีที่พยาบาลแนะนำว่าให้แพทย์ดูอาการก่อน อย่าเพิ่งยื่นเรื่องขอตรวจ
แพทย์จะตัดสินใจเอง ถ้าเป็นผื่นต้องสงสัยจริงๆ จะได้ตรวจฟรี รักษาฟรี
เมื่อได้เข้าห้องตรวจ แพทย์สอบถามอาการ และได้ดูผื่นที่แขนและฝ่ามือทั้ง สองข้าง
แพทย์ก็ถามว่ารู้จักซิฟิลิสหรือเปล่า เราอยู่กับใคร แม่รู้เรื่องหรือเปล่า จะตัดสินใจยังไงต่อไปถ้าเราติดเชื้อจริงๆ
ก็ดูเค้าใส่ใจเรา อาจเพราะพยายามช่วยลดความตื่นเต้น กดดัน แต่บอกเลยว่าผมไปหาหมอแบบชิวๆ เหมือนป่วยปกติ ไม่เครียดไม่กดดัน
ยังเล่น rov ตอนรอเรียกคิวเลยด้วยซ้ำ 55555 .. จากนั้น แพทย์ก็ส่งตัวไปเจาะเลือด *เค้าใจดีจริงๆครับ ตรวจซิฟิลิสเพื่อยืนยัน แล้วตรวจ HIV ให้ด้วย* เรียกได้ว่าตรวจครอบคลุมทุกโรคติดต่อทาง พสพ แบบ ชายรักชาย
ผมนั่งรออยู่ 1 ชั่วโมง ผลก็ออกมา พยาบาลที่แนะนำให้แพทย์ดูอาการก็เรียกเข้าห้องตรวจอีกครั้ง แถมยังคุยเล่นกับผมอีกต่างหาก
แซวผมว่า เธอน่าจะเรียนหมอนะ วินิจฉัยแม่นมาก และคำวินิจฉัยของแพทย์ก็ถูกอย่างที่คิด
แพทย์ยังไม่ได้ระบุค่าไตเตอร์ แต่บอกได้เลยว่า ตรวจเจอเชื้อซิฟิลิส ไม่เจอภูมิต้านทานเชื้อ HIV
การตรวจเลือด ผลลัพธ์ที่ได้จะมีแค่ แพทย์ ผู้ป่วย และพยาบาลที่แนะนำเรื่องการตรวจ เท่านั้นที่รู้ผลนี้
เค้าดูรัดกุมดีนะครับ ไม่กระโตกกระตากจนเป็นที่น่าสงสัยให้คนอื่นมอง
แพทย์รีบดำเนินการสั่งจ่ายยาทันที และบอกถึงการรักษา คือ ผมต้องถูกฉีดยาทั้งหมด 3 สัปดาห์ติดต่อกัน สัปดาห์ละ 2.4 ล้านยูนิต
แพทย์พูดกับผมว่า ปวดนะ ฉีดยาตัวนี้ แต่ฉีดเถอะถ้ามันขึ้นไปถึงสมอง อาจจะพิการหรือถึงตายได้ ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือน
เริ่มมีความกังวลถึงผลข้างเคียงที่ตามมา จนกลัวจะไปทำงานไม่ได้ จึงถามแพทย์ไปเลยว่า มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
คำตอบที่ได้คือปวด แต่ในเมื่อเราตรวจเจอก่อน และเริ่มเป็นระยะนี้ รีบรักษา จะมีโอกาสหายได้ไวๆ
15.00 น. 1/12/60 เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมเอาใบสั่งยา รอรับยาที่หน้าห้องจ่าย และพนักงานก็ให้เข้าห้องฉุกเฉินทันที
เมื่อผมเข้าไปพร้อมกับถือยาที่ได้รับที่อยู่ในมือ พยาบาลก็เชิญให้นอนคว่ำบนเตียงว่างทันที แล้วก็หันมาคุยกับเราแก้เครียด
บอกถึงอาการขณะฉีด คือ ปวดนะค่ะ ยาตัวนี้ แต่ทนได้แหละเพราะปวดไม่มาก
ผมแอบดูเค้าผสมยาที่ได้รับมาถึง 2 ขวด คือขวดละ 1.2 ล้านยูนิต ผมต้องโดนฉีดยา 2 เข็ม เข็มละข้าง ที่สะโพก
ไม่นานก็มาปิดม่านและให้ปลดกางเกง ฉีดเลยครับ ก้นได้รับรู้ถึงความเย็นจากการฆ่าเชื้อของแอลกอฮอล์ก่อนทำการฉีด
จากนั้นเข็มก็เข้าสู่สะโพกทันที รู้สึกเจ็บกว่าโดนเจาะเลือดเล็กน้อย แต่พอพ่นยาเข้าสู่กล้ามเนื้อเท่านั้นแหละครับ
บอกเลยว่า ปวดมาก !! ปวดลงไปถึงเข่าเลย จนขาสั่นเท้าสั่น เพราะยากระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ
พยาบาลคนฉีดก็พยายามชวนคุยไปต่างๆนาๆ เพื่อช่วยลดการรับรู้ความเจ็บปวดที่ได้รับ พยายามให้เราตอบคำถาม จะได้ลืมเรื่องความปวด
เข็มแรกผ่านไป เข้าสู่เข็มที่สอง ครั้งนี้ผมมีเสียง อื้อหือ เลยครับ เพราะปวดกว่าครั้งแรกอีก พอเสร็จ เค้าให้เรานอนพัก โดยคว่ำอยู่แบบนั้น
15 นาที ขณะผมนอนรอเวลา คือ น้ำตาเริ่มซึมออกมาเอง คือมันปวดมาก ปวดจนขยับขาไม่ออก
ให้นึกถึงตอน ก้นหรือกล้ามเนื้อไปกระแทกขอบโต๊ะแล้วปวดเป็นตะคริวก็เทียบไม่ได้
ให้นึกถึงตอน โดนเพื่อนแกล้งจิ้มเจาะยางที่ขา ที่แขน ก็ปวดยิ่งกว่า
ผมนอนอยู่อย่างนั้น จนอาการเริ่มทุเลาลงเล็กน้อย ก็ค่อยๆลงจากเตียง ยืนนิ่งด้วยความทรมาน และค่อยๆเดินออกจากห้องไปรับใบนัดครั้งต่อไป
** สรุป อาการปวดจะเกิดขึ้นทันทีที่ยาเข้าสู่กล้ามเนื้อ
20.00 น. อาการปวดที่ฉีดทุเลาลงเยอะมาก แต่เปลี่ยนเป็นเจ็บกล้ามเนื้อ และพบว่ามีอาการคันผิวหนัง บริเวณที่ตุ่มแดงขึ้น
และมีตุ่มแดงเพิ่มขึ้นมาอีกแบบจางๆ เหมือนเชื้อกำลังหนีตาย เหมือน เบนซาทีน เพนิซิลลิน (ยาปฏิชีวนะ) ที่ฉีดเข้าไป กำลังจะฆ่ามัน
ตุ่มที่แขน ที่คอ ที่ไหล่ ปรากฎมีวงกลมจางๆอยู่รอบๆ ตุ่ม วงกลมเป็นสีแดงจางๆ มีอาการคันตามตุ่มที่ขึ้น แต่ตุ่มเหล่านี้มีลักษณะจางลง
(คงจะเป็นผลจากยาปฏิชีวนะตัวนี้ ทำการจับเชื้อไว้และทำการฆ่าเชื้อ)
- ฝ่าเท้ายังคงเป็นตุ่มสีแดงปกติ แต่เริ่มคันบ้างแล้ว
- ใบหน้ามีจุดแดงๆเพิ่มขึ้นมา ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร บางที่ที่ขึ้นอยู่แล้วจะมีอาการคัน
**สรุป มีตุ่มตรงไหน ยาทำการออกฤทธิ์ได้ทุกตุ่ม และมีอาการคัน จากที่ไม่เคยคันมาก่อน