เหตุใด ในสมัยโบราณ ก่อนเข้าเฝ้าฯ ผู้ชายต้องถอดเสื้อ
วันนี้ผมนำเกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์มาให้ได้อ่านเพิ่มความรู้กันครับ เนื้อหานี้มาจากเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ จับเข่าเล่าประวัติศาสตร์ ได้นำมาเผยแพร่ระบุว่า...
..ถอดเสื้อเข้าเฝ้า...
ในสมัยโบราณ การแต่งกายคือการแสดงความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้คนในสังคมนั้นจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เหมาะสม ไม่เทียมเจ้าเทียมนาย และไม่ทำให้เจ้านายขายขี้หน้า
ในจารีตการเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ หากพระมหากษัตริย์มิทรงฉลองพระองค์ ผู้เข้าเฝ้าก็มิพึงสวมเสื้อให้เทียมเจ้าเทียมนาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณจะมิทรงฉลองพระองค์อยู่เป็นปกติ ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน (มาก) หากไม่มีการต้องทรงฉลองพระองค์ เช่น ออกรับแขกบ้านแขกเมือง ก็จะทรงเปลือยพระวรกายท่อนบนเสมอ ทรงแต่พระภูษา (ผ้านุ่ง) เป็นการเย็นพระวรกายดี
เว้นแต่ฤดูหนาว ซึ่งอากาศน่าจะหนาวกว่ากรุงเทพฯ สมัยนี้ พระองค์จึงจะทรงฉลองพระองค์ เมื่อทรงฉลองพระองค์แล้ว
ข้าราชการที่เข้าเฝ้าก็พลอยได้สวมเสื้อไปด้วย ดีใจกันไปตามๆ กัน (ท่านว่ามีวิธีสังเกต คือถ้า "พระถัน (เต้านม) หด" เมื่อใด ข้าราชการไปเตรียมเสื้อกันได้เลย เพราะอีกไม่นานก็คงจะทรงเรียกฉลองพระองค์มาทรง)
ส่วนเสื้อสำหรับข้าราชการนั้น ในกรณีที่เป็นเสื้อพระราชทาน จะเป็นเสื้อผ้าเนื้อดี มีลวดลายจากต่างประเทศ (เช่น อินเดีย) โอกาสสวมใส่นั้นแม้จะไม่บ่อยนัก แต่ข้าราชการก็ต้องดูแลเสื้อผ้าเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นเกียรติยศทั้งของตน และของพระมหากษัตริย์
หากเสื้อที่รับพระราชทานมานั้นเก่า หรือเสียหาย ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องวิ่งหาไฮเตอร์ หรือเครื่องจักรซิงเกอร์ ท่านสามารถขอเปลี่ยนเสื้อใหม่ได้ เพราะหากมีกิจต้องสวมเสื้อจริงๆ เช่น งานรับแขกบ้านแขกเมือง แล้วเสื้อเก่า หมอง ขาดเสียหาย จะมีโทษตามกฎมณเทียรบาล ด้วยเป็นการเสื่อมพระเกียรติยศสำหรับแผ่นดิน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงแก้ธรรมเนียมให้ผู้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์นั้นต้องสวมเสื้อเข้าเฝ้าทุกครั้งไป ดังพระราชดำริว่า
"ดูคนที่ไม่สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นเกลื้อนกลากก็ดี หรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก ประเทศอื่น ๆ ที่เป็นประเทศใหญ่เขาก็สวมเสื้อหมดทุกภาษา ประเทศสยามนี้ก็เป็นประเทศใหญ่รู้ขนบธรรมเนียมมากอยู่แล้ว ไม่ควรจะถือเอาอย่างโบราณที่เป็นชาวป่ามาแต่ก่อน ขอท่านทั้งหลายจงสวมเสื้อเข้ามาในที่เฝ้าจงทุกคน"
ตั้งแต่นั้น ข้าราชการไทยก็สวมเสื้อเข้าเฝ้าเสมอ แม้อากาศจะเป็นอย่างไรก็ตาม ต่อมาจึงเริ่มประดิษฐ์เสื้อแบบใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อให้รับกับแฟชั่นขุนนางไทยยุคใหม่ เช่น เสื้อแขนกระบอก คล้ายเสื้อของชายชาวเปอรานากัน (บ้าบ๋าบุตรจีน) ซึ่งชายเสื้อยาวพอจะคาดผ้ากราบได้สวยงาม หรือในยุคต่อมา ที่นำชุดทูนิคแบบฝรั่ง ผสมกับเสื้อแบบอินเดีย กลายเป็นชุดราชปะแตน
ทั้งนี้ เพื่อให้เข้ากับธรรมเนียมของฝรั่ง ที่ต้องสวมเสื้อเสมอ ถือเป็นการสุภาพ สังเกตได้จากบรรดาแหม่มที่เข้ามาอยู่เมืองไทยสมัยนั้น แม้ว่าอากาศเมืองไทยจะร้อนระอุเพียงใดก็ตาม พวกนางก็ยังคงจัดเต็มทั้งกระโปรงสุ่มยันเสื้อปิดคอแบบอยู่ในเมืองฝรั่ง เป็นหนึ่งในการลดข้ออ้างความเป็นอนารยะในสายตาของชาติตะวันตกลง
อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการ "นุ่ง"
สำหรับบุรุษแล้ว การนุ่งที่ถือเป็นการสุภาพ คือนุ่งโจงกระเบน (ม้วนชายผ้าลอดหว่างขาไปเหน็บไว้ด้านหลัง) หากอยู่ต่อหน้าผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า หรือผู้ที่เราจะให้เกียรติ จะต้องโจงกระเบนเสมอ
ถ้าอยู่แบบชิลๆ ในเหย้าในเรือน ก็จะนุ่งลอยชาย คือไม่โจง แค่เอาผ้ามาโอบรอบตัวแล้วขมวดปม แต่หากกำลังชิลอยู่ดีๆ มีผู้ใหญ่มาปรากฏตัวที่เรือน ท่านต้องรีบตลบชายผ้าขึ้นโจงกระเบนทันที
สรุปแล้ว แม้การแต่งกายของไทยในอดีต กับปัจจุบัน จะแตกต่างกันอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่วัฒนธรรมไทยแต่โบราณมุ่งเน้นให้ความสำคัญอยู่เสมอ คือการแต่งกายให้ถูกต้องตามกาลเทศะ