ดัชนี 7-11 สะท้อนอะไร?
วันก่อนเห็นสื่อหลักหลายสำนัก นำเสนอข่าวเกี่ยวกับ "ดัชนี 7-11" ที่สะท้อนกำลังซื้อของคนไทยว่ากำลังทรุดหนัก สอดคล้องที่ก่อนหน้าที่มีนักวิเคราะห์หลายด้าน ออกมาพูดถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยว่า จะเป็นไปในลักษณะ รวยกระจุก จนกระจาย รายละเอียดของเนื้อข่าว เพิ่มเติมเกิดขึ้นมาจากทาง “ซีพี ออลล์” เจ้าของธุรกิจเซเว่นฯในประเทศไทยเปิดเผยข้อมูลตัวเลข ยอดขายเฉลี่ยของร้านเซเว่นฯในไตรมาส 2/60 ว่ามีอัตราการเติบโตลดลง 1.0% ด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันอยู่ที่ 79,613 บาท ยอดซื้อต่อบิล 67 บาท ลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 1,194 คน ซึ่งสรุปก็คือ คนไทยมีอัตราการซื้อลดลงจากเดิม จะว่าไปแล้ว ดัชนีอย่างไม่เป็นทางการชนิดนี้ ไม่ต่างอะไรกับดัชนี "มาม่า" ที่เราคุ้นเคยกัน โดยถูกนำมาเป็นตัวชี้วัดในการสะท้อนการใช้จ่ายเงินในกระเป๋าของชาวบ้านในแต่ละช่วง ถ้าเศรษฐกิจดี ผู้คนมีเงินในกระเป๋า ยอดขายมาม่าจะไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากคนไปซื้ออาหารอื่นที่แพงกว่า แต่ถ้าช่วงไหนมาม่าขายดี แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังทรุดตัว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป จึงเกิด ดัชนี 7-11 ที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดการบริโภคและวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนแทน เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันร้านเซเว่นฯ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทยส่วนใหญ่ไปแล้ว ปัจจุบันเซเว่นมีสาขาทั่วประเทศอยู่ที่ 10,007 สาขา ครอบคลุมทุกจังหวัด ตามรายงานของเดือนมกราคม - มิถุนายน หรือ 6 เดือนแรกของปี 2560 ปี จะพบว่าเซเว่นมียอดขายเป็นจำนวนเงิน 146,742 ล้านบาท แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่ายอดขายก็ยังเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 6.4% ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตแค่ 3.6% กล่าวคือ 7-11 เติบโตเร็วกว่าประเทศไทยเสียอีก
จากข้อมูลทางตัวเลขที่แสดงออกมา ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คิดว่าประชาชนโดยรวมยังมีกำลังซื้อกันอยู่ และเศรษฐกิจไม่ได้ทรุดหนักขนาดที่ผู้คนไม่มีกำลังซื้อ อย่างที่หลายสื่อพยายามนำเสนอ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ก็อาจจะมีทั้งคนที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจ ก็เป็นช่องโหว่ที่รัฐบาลถูกโจมตีอย่างเลี่ยงเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งส่วนตัวของผู้เขียนปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเรา เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ณ เวลานี้ ก็คงไม่สามารถแก้ไขได้ภายใน 2-3 ปี โดยหากจะบอกว่า 7-11 มาแย่งยอดขาย ร้านค้าโชว์ห่วย หรือร้านค้ารายย่อย และทำให้เศรษฐกิจครัวเรือนของชนชั้นล่างลดน้อยลง ทำให้คิดว่า บางทีเราควรที่จะเลิกโทษคนอื่น แล้วหันกลับมามองที่ตัวเองกันว่า เราจะปรับปรุงอะไรกันได้บ้าง ถ้าคนอื่นเค้าขายได้เพิ่มขึ้น เราก็ต้องทำได้สิ คิดแบบนี้ก็เป็นการสร้างกำลังใจ ไม่ใช่เอาแต่โทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ธุรกิจจะไปต่อได้ ถ้าเรารู้ความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า การกล่าวโทษสิ่งใด คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา และความสำเร็จในอดีตมันไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคตเสมอไป เพราะเงื่อนไขมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บทความนี้เป็นแค่ความคิดเห็นที่อยากนำเสนอมุมมองอีกด้านนึง ซึ่งไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้ดี แต่เราอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ดังนั้นการที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นมาได้ บริษัทขนาดใหญ่ต้องฟื้นก่อน (ย้ำเลยว่าต้อง) หลายคนอาจจะถามว่าเพราะอะไร? 1. การจ้างแรงงาน บริษัทขนาดใหญ่มีอัตราการจ้างแรงงาน(ในเชิงปริมาณ)สูงกว่า ย่อมกระจายเงินหมุนเวียนมากกว่า ตัวอย่างชัดๆก็ เซเว่นฯ นี่แหละ ยิ่งขยายสาขา การจ้างงานก็เพิ่มตาม
ดังนั้นในช่วงนี้ ไม่ต้องแปลกใจที่เราจะพบเห็นบริษัทขนาดใหญ่ มีการลงทุน หรือมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ในขณะที่รากหญ้ายังแย่ อาการนี้เป็นภาวะปกติ ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา การที่ดัชนี 7-11 ออกมาในลักษณะนี้ เป็นเพียงภาพสะท้อนว่าคนไทยระดับกลาง-ระดับล่าง ยังมี "เงินในกระเป๋า" แต่แค่ ยังไม่กล้าใช้ เท่านั้นเอง. |