จำเรื่องมโนๆ ... ในฟอร์เวิร์ดเมลลวงโลกได้หรือไม่

ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัยฉับไวเช่นทุกวันนี้ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิกก็ทำให้เรื่องราวข้อมูลข่าวสารต่างๆ ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทุกมุมโลก ดังเช่นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล (E-mail) ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากในอดีต แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนช่องทางการแชร์ข้อมูลผ่านทางโลกโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น Facebook หรือ Line ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน แต่หลายครั้งการส่งต่อข้อความ หรือ ฟอร์เวิร์ดเมล (Forward mail) ซ้ำๆ ไปยังผู้รับทำให้เกิดการช่วยเหลือและแบ่งปันได้อย่างน่าประทับใจ บางฟอร์เวิร์ดเมลเป็นบทความดีๆ ที่ถูกส่งต่อด้วยความห่วงใย แต่ขณะเดียวกันการฟอร์เวิร์ดเมลข้อความเตือนภัยที่ขาดการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ในบางครั้งก็กลับกลายเป็นการสร้างความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เพื่อให้รู้เท่าทันต่อการแชร์ข้อมูลหรือฟอร์เวิร์ดเมล (Forward mail) จึงขอรวบรวมตัวอย่างเรื่องราวภัยใกล้ตัวที่นิยมส่งต่อกันมากที่สุดมาลองวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นคือเรื่อง “จริง” หรือ “ลวง” จึงสืบหาข้อเท็จจริงในแต่ละเป็นที่แชร์ต่อกัน

เผยเตือนสติ!!! ชาวโซเชียลมีการส่งต่อกันว่า ไส้กรอก ผลิตมาจากการโยนหมูทั้งตัวลงไปในในเครื่องบด เรื่องนี้จริงหรือไม่อย่างไร?

ตัดภาพสลับกับคลิปสารคดีการกำจัดซากสุกรด้วยเครื่องกำจัดซาก คือ คลิปต่อไปนี้ (ระวัง มีภาพที่น่าหวาดเสียว)

ทั้งนี้ ทั้งสองคลิปไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่ผู้สร้างคลิปที่แชร์กันได้นำมาตัดต่อรวมกัน จนทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดว่าการผลิตไส้กรอกมีกระบวนการที่น่าสยดสยองดังกล่าว

ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง และไม่ควรแชร์ต่อ รวมทั้งข้อความในภาษาไทย อาจเป็นการละเมิดสิทธิทางการค้า ที่เข้าข่ายจะถูกดำเนินคดีโดยบริษัทที่ถูกอ้างถึงได้ -- เช็คก่อนแชร์ (สำนักข่าวไทย)

สรุป ..... แท้จริง คือตัดต่อ >>>เฉลย VDO จริง ว่า โกหกทั้งเพการทำไส้กรอกคัดเนื้อหมูเน้นๆ ไม่มีวัวผสม และไม่ได้โยนทั้งตัวอย่างที่กล่าว #หยุดโกหกบนอินเตอร์เนต

ปล. ไส้กรอกเนื้อล้วนๆ แน่น กรอบ อร่อย

-----------------------------------------------------------------------------------

ระวังเป็น AIDS จากการกินผลไม้รถเข็น?

เรื่องราวในฟอร์เวิร์ดเมลฉบับนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์ เรื่องมีอยู่ว่าเด็กชายอายุ 10 ขวบ คนหนึ่ง มีอาการไม่สบาย เมื่อไปพบแพทย์กลับตรวจพบว่าเป็นโรคเอดส์ โดยเด็กเล่าว่า ก่อนหน้านี้ 15 วัน ได้ทานสับปะรดจากร้านข้างทาง จากนั้นจึงได้นำตัวพ่อค้าสับปะรดมาสอบถาม ได้ความว่าพ่อค้าสับปะรดทำมีดบาดนิ้วตอนหั่นสับปะรดขายให้เด็ก และเมื่อทางโรงพยาบาลตรวจผลเลือดของพ่อค้าสับปะรดก็พบว่าเป็นโรคเอดส์อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว

จากเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อลองมาพิจารณาดูจะพบว่า ความจริงแล้วเชื้อ HIV จะไม่สามารถอยู่ได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมภายนอกได้นาน คือภายในไม่กี่ชั่วโมงเชื้อจะตายไปประมาณ 99% และยิ่งถ้าเชื้อถูกกับความร้อน ความแห้ง ภาวะเป็นกรดด่าง แสงแดด เชื้อก็จะตายเร็วขึ้น จึงไม่สามารถแพร่เชื้อติดต่อได้ และการตรวจพบเชื้อ HIV ในระยะเวลา 15 วัน ยังเป็นไปได้ยาก เพราะกว่าที่แอนติบอดี (ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV) จะแสดงผล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 วัน ถึง 6 เดือน (แล้วแต่บุคคล ซึ่ง 99% จะพบที่ 3 เดือน และ 100% จะพบที่ 6 เดือน โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะนัดที่ 3 เดือน ซึ่ง 99% จะตรวจพบ)

ทั้งนี้การติดเชื้อเอดส์โดยหลักใหญ่ๆ มี 2 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ และ ทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยาที่ไม่สะอาดร่วมกัน การมีบาดแผลแล้วไปสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลืองของคนไข้ที่มีเชื้อเอดส์อยู่ เช่น การใช้ของมีคม มีดโกน เข็มสักผิวหนัง เข็มเจาะหูร่วมกัน เป็นต้น โดยเรื่องราวของฟอร์เวิร์ดเมลฉบับนี้ มีการวิเคราะห์กันในเว็บไซต์ของต่างประเทศ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.snopes.com/horrors/food/pineapple.asp

สรุปว่า ประเด็นเรื่องกล้วยฉีดเลือดเอดส์ กับ ผลไม้ปนเลือดคนเป็นเอดส์นั้น เป็นเรื่องหลอกหลวง อีกแล้วครับท่าน จนอาจารย์ Jessada ผู้รอบรู้ ขอให้เหตุผลประเด็นนี้ว่า "เอดส์ไม่ได้ติดต่อกันทางการกินอาหารร่วมกัน ถึงแม้จะมีเลือดหยดลงไปในอาหารหรือแม้แต่น้ำอสุจิ ก็ไม่ได้ทำให้คนที่กินเข้าไปจะติดเชื้อได้ เชื้อไวรัสเอชไอวีเองก็ตายง่ายเมื่อไม่ได้อยู่ในน้ำคัดหลั่งของร่างกาย แต่เลือดแห้ง โดนอากาศหรือโดนความร้อน เชื้อก็เสียสภาพไม่สามารถแพร่กระจายตัวเองได้ อย่างที่ล่ำลือกัน

กราบขอบพระคุณอาจารย์ Jessada Denduangboripant มา ณ โอกาสนี้

-----------------------------------------------------------------------------------

Chicken WingsDeadly Wings ปีกไก่มรณะ?? กินปีกไก่จะเป็นโรคซีสต์

ข้อความในฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องนี้ พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแพทย์ตรวจพบซีสต์ในมดลูก และอธิบายว่าเกิดจากการกินปีกไก่บ่อย เนื่องจากมีการฉีดสารสเตียรอยด์ที่บริเวณคอหรือที่ปีกไก่ จึงเป็นส่วนที่สารสเตียรอยด์เข้มข้นยังคงอยู่ มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย อันตรายต่อฮอร์โมนของสตรี และนำไปสู่การเจริญเติบโตของซีสต์ในมดลูก

สรุปในเรื่องนี้ จาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ไม่มีงานวิจัยที่ชี้ว่ากินปีกไก่แล้วทำให้เกิดซีสต์ที่รังไข่เลย แต่ซีสต์ที่รังไข่อาจเกิดจากไก่ได้ทางอ้อม คือ กินหนังไก่จนอ้วนมากไป เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ซีสต์รังไข่" สำหรับการฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ปัจจุบันมีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่ให้ใช้ฮอร์โมนเร่งฉีดในไก่แล้ว และจากการสอบถามสัตวแพทย์บอกว่า ฟาร์มไก่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช้ฮอร์โมนแล้ว ไม่ว่าจะแบบฉีดหรือฝังใต้หงอน เพราะฮอร์โมนราคาแพงมาก

สำหรับโครงการสร้างมาตรฐานเนื้อสัตว์อย่างยั่งยืน ของ “ปศุสัตว์ OK” มุ่งเน้นการตรวจสอบและรับรองกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ให้ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับจากจุดจำหน่ายสินค้าจนถึงฟาร์ม เพื่อยกระดับสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ทั้งในตลาดสด ร้าน Modern trade และ Shop จำหน่ายสินค้า ให้มีสุขลักษณะที่ดี สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าปศุสัตว์ที่ปลอดภัย นับว่าโครงการฯประสบความสำเร็จด้วยดี มีร้านที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 2,400 ร้าน และจะขยายให้ครบ 3,000 ร้าน ในสิ้นปีนี้

-----------------------------------------------------------------------------------

กินน้ำอัดลมมะเร็งถามหาจริงหรือ

จากภาพที่ส่งต่อๆ กันในโลกออนไลน์ของกระแสกินน้ำอัดลมเป็นมะเร็งนั้น เรื่องนี้ขอสรุปสั้นๆ ก่อนว่า เป็นการสร้างภาพน้ำอัดลมให้น่ากลัวเกินจริง ถ้าไม่ได้กินกันมากเกินไป ก็ไม่ได้จะอันตรายอย่างนั้น

ภาพนี้แยกเป็น 2 เรื่อง คือ "มะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน" ที่จริงๆ แล้ว พูดถึงปัญหาของการกิน "น้ำตาล" มากเกินไป ซึ่งไม่ว่าในน้ำอัดลม ชาเขียว เครื่องดื่มอื่นๆ ก็เสี่ยงพอกัน (ถ้ากินกันมากเกินไป)

จากคำแนะนำของ Amrican Cancer Society บอกว่า มีมะเร็งหลายชนิดที่โอกาสเสี่ยงจะเป็นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ถ้าคุณอ้วนเกินไป ซึ่งก็มีตั้งแต่มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะสตรีที่หมดประจำเดือน) มะเร็งลำไส้ มะเร็งมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต และมะเร็งตับอ่อน และถ้าอ้วนแบบลงพุงมากเกินไป ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งทั้ง 3 อย่างในรูปด้วย

ดังนั้น การกินน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง มีสิทธิทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อมะเร็งได้จริง แต่นั่นก็ไม่ต่างกับเครื่องดื่มหวานๆ อื่น และเราควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำตาลที่กินเข้าไป

ส่วนอีกเรื่อง คือ "มะเร็งต่อมลูกหมาก" จากสาร 4-MEI ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ สีจากคาราเมลหรือน้ำตาลไหม้ ซึ่งพบปัญหาในหนูทดลองที่กินเข้าไปเยอะมากๆ แต่ปริมาณที่ใส่จริงในน้ำอัดลมนั้นน้อยมากๆ เช่นกัน

จากข้อมูลวิกิพีเดีย (https://en.wikipedia.org/wiki/4-Methylimidazole#Safety) จะเห็นว่า หนูทดลองจะต้องได้รับสาร 4-MEI นี้ในปริมาณมากๆ (40 มิลลิกรัมขึ้นไป ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโล) ทุกๆ วันเป็นเวลา 2 ปีต่อกัน จึงมีเนื้องอกที่ปอดมากขึ้น และพวกที่ได้ปริมาณมากๆ (170 ม.ก. ต่อกิโลน้ำหนักตัว) จึงเกิดเนื้องอกที่นำไปสู่มะเร็งปอดได้ (งานวิจัยที่เคยทำก่อนนั้น จริงๆ แล้วเป็นมะเร็งปอด ไม่ใช่มะเร็งต่อมลูกหมาก)

ขณะที่องค์การทางด้านอาหารและยาของประเทศต่างๆ ได้แก่ ของอเมริกา สหภาพยุโรป แคนาดา และฮ่องกง ล้วนบอกว่า ไม่พบว่า สีคาราเมลอย่างสาร 4-MEI นี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อการบริโภค และต้องกินเป็นจำนวนมากจริงๆ จึงจะน่าเป็นห่วง เช่น ต้องดื่มน้ำอัดลมกันหลายร้อยจนถึงเป็นพันกระป๋องต่อวัน จึงจะทำให้เกิดมะเร็งได้เหมือนอย่างในหนูทดลอง

สรุปว่า พวกน้ำอัดลมสีดำๆ จากสีคาราเมลนั้น ไม่ได้อันตรายและถ้าเลิกดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องเครื่องดื่มหวานๆ ทั้งหลายไม่ได้ก็ดื่มกันต่อไป โดยอย่าให้มากเกินไปและกินแล้วก็ออกกำลังกายเยอะๆ ด้วยครับ