เรื่องไหรโดนใจ!! กับ 10 หนังที่หักมุมทำร้ายจิตใจคนดูได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21
สำหรับใครที่เคยติดตามผลงานเก่าๆของผม ก็อาจจะรู้ว่าผมเคยทำลิสต์ “50 หนังหักมุมยอดเยี่ยมตลอดกาล” [Spoil] คลิกเพื่อซ่อนข้อความhttps://pantip.com/topic/32751152และมาในคราวนี้ผมก็มีความคิดที่จะทำลิสต์หนังหักมุมอีกครั้ง แต่เป็นการคัดจากหนังศตวรรษที่ 21 (2001 – 2100) และการหักมุมดังกล่าวต้องสร้างความรู้สึกด้านลบกับคนดูไมว่าจะเป็น หดหู่ จิตตก เศร้าสลด
***ลิสต์ด้านล่างไม่มีการเขียนสปอยล์จุดหักมุม
เรื่องที่ผมอยากแนะนำเพิ่มเติมอาทิเช่น Drag Me to Hell 2009, Bridge to Terabithia 2007, Pan's Labyrinth 2006 สำหรับใครที่มีความคิดเห็นหรืออยากแนะนำหนังเรื่องไหนเพิ่มเติม ก็มาคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ
คำอธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับ “การหักมุม” ที่เกิดขึ้นในหนัง หรืออธิบายง่ายๆว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาของคนดู ถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท
plot twist เป็นจุดหักมุมที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาไหนของเรื่องก็ได้ ซึ่งจะไปทำลายความเชื่อของคนดูที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ต้น
หักมุมระหว่างเรื่องก็เช่น A Beautiful Mind 2001, The Crying Game 1992 หากเป็นท้ายเรื่อง ก็อย่างเช่น Fight Club 1999, Psycho 1960
twist ending เป็นจุดหักมุมที่เกิดขึ้นเฉพาะท้ายเรื่องและไม่ส่งผลกระทบถึงเรื่องราวข้างต้น โดยการหักมุมลักษณะนี้อาจมีเค้าโครงหรือมีการใบ้เป็นนัยๆว่าจะเกิดขึ้น แต่พยายามเล่าเรื่องให้คนดูเกิดความไขว้เขวกับความเชื่อของตน อาทิเช่น Take Shelter 2011, Mystic River 2003
surprise ending เป็นการหักมุมที่สร้างความรู้สึกเหวอ ทึ่ง ประหลาดใจกับคนดู แต่ไม่ส่งผลกระทบถึงเรื่องราวข้างต้น อาทิเช่น The Boy in the Striped Pajamas 2008, The Mist 2007, Identity 2003
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. The Boy in the Striped Pajamas (2008)
ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังต่อต้านสงคราม นำเสนอความโหดร้ายผ่านสายตาของเด็ก สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา เฉกเช่นหนังเรื่องนี้ที่บอกเล่ามิตรภาพของเด็กสองคน ณ บริเวณค่ายกักกันชาวยิว โดยบทหนังถูกดัดแปลงมาจากนิยายของ John Boyne สะท้อนความขัดแย้งอย่างสุดขั้วในสองช่วงวัย ขณะที่ฝั่งผู้ใหญ่พยายามต่อสู้ ฆ่าฟันกัน แต่เด็กซึ่งเป็นสิ่งที่หนังเลือกโฟกัส พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คืออะไร? เห็นเพียงแต่ความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ความปรองดองซึ่งกันและกัน
9. Funny Games (2007)
ถ้ามองในแง่เนื้อหา รายละเอียดสำคัญๆของตัวหนัง เชื่อเลยว่าคนที่เคยดูทั้งสองฉบับ 1997 และ 2007 จะเกิดคำถามตัวโตๆเลยว่า Michael Haneke เขาทำการรีเมคหนังเรื่องนี้เพื่ออะไร? หากไม่ใช่เพราะเงิน!! กับเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ถูกคุกคามโดยสองเพื่อนบ้าน นับว่าเป็นหนังเขย่าขวัญที่เล่นอะไรง่ายๆ มีการจับเหยื่อเป็นตัวประกัน และการทรมานที่ดูซาดิสม์ มันล้วนแล้วเป็นสถาการณ์ที่คาดเดาได้ แต่กลับมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายล้างความรู้สึกของคนดู
8. Eden Lake (2008)
ความน่ากลัวที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่าเรื่องราวเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อสองคู่รักได้เดินทางมาพักตากอากาศ ณ ทะเลสาบแสนสวยในเมืองแห่งหนึ่ง และต้องเผชิญกับการคุกคามของเหล่าเด็กอันธพาล จากพล็อตที่กล่าวมามันไม่ใช่เรื่องราวที่ดูไกลตัวนัก คุณอาจเคยพบเห็นจากในหน้าข่าวทั้งในและต่างประเทศ โดยความยอดเยี่ยมของหนังคือ การตีแผ่ นำเสนอความน่ากลัวของเหตุการณ์ลักษณะนี้ออกมาได้อย่างสมจริง ด้วยการโอบล้อมด้วยบรรยากาศแห่งความอึดอัดและความสิ้นหวัง
7. The Skeleton Key (2005)
ขอยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน underrated horror ของยุคนี้ กับเรื่องราวของสาวพยาบาลที่ต้องดูแลชายชราที่เป็นอัมพาตในคฤหาสน์เก่าแก่แห่งหนึ่ง โดยจะเห็นเลยว่าการเขียนบทค่อนข้างดูฉลาด ตั้งแต่การวางปมในจิตใจตัวละคร เมื่อตัวเอกที่เป็นหญิงสาวมีปมค้างคาเกี่ยวกับพ่อ มันกลายเป็นฐานรองรับให้การกระทำของเธอให้ดูน่าเชื่อถือ ว่าทำไมเธอถึงต้องยึดมั่นในงานๆนี้ อีกทั้งยังใช้เรื่องความเชื่อและไสยศาสตร์ มาเป็นตัวหลอกล่อ สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และสามารถนำไปสู่การจบที่ชาญฉลาดได้
6. Atonement (2007)
ความสวยงามที่น่าหลงใหลและความเศร้าสลดที่ยากจะยอมรับ กับเรื่องราวของสาวน้อยที่เป็นปากพยานสำคัญที่ทำให้คนรักของพี่สาวต้องถูกจับและนำไปสู่โศกนาฏกรรมแห่งรัก เรียกได้ว่าสร้างความฉงนใจตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง หญิงชรากับถ้อยแถลงบางอย่าง ก่อนจะตัดเข้าสู่เนื้อเรื่องหลัก โดยจุดเด่นนอกจากบทที่ยอดเยี่ยมและเป็นสิ่งที่ประจักษ์ด้วยตาของผู้ชมคือ งานโปรดักชั่น มีความสวยงาม ดูวิจิตรตระการตาในทุกรายละเอียด รวมไปถึงยังมีฉากลองเทคที่โด่งดังมากที่สุดฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์
5. Buried (2010)
ใช้พื้นที่เล็กๆในการกระตุ้นความคิด สร้างความจดจ่อกับเรื่องราวของชายหนุ่มที่ติดอยู่ในโลงศพ พร้อมกับสิ่งของเล็กๆน้อยๆอย่างไฟแช็คและมือถือ ต้องบอกว่าหากคุณมีไอเดียที่ดี การทำหนังให้ประสบความสำเร็จด้วยเงินทุนที่ไม่มากก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด โดยหนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวด้วยโลเคชั่นเดียว และตรึงความสนใจของคนดูได้ตลอดทั้งเรื่อง จะคอยคิดตามอยู่ตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละคร ใครอยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ ตัวเอกจะทำอย่างไรให้รอดตายจากสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้
4. The Mist (2007)
สังคมอเมริกันที่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดวิตก ได้ถูกจำลองเป็นเหตุการณ์ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ที่มีผู้คนต่างหลบภัยอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่มีใครที่จะกล้าออกไปเผชิญกับความน่ากลัวที่ซุกซ่อนมากับกลุ่มก้อนหมอกปริศนา โดยหนังได้ใช้ความกลัวเป็นตัวปลุกสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ และได้แสดงบทสรุปที่น่าสนใจของกลุ่มคนสองประเภทคือ พวกที่ยังมีสติ พยายามหาคำอธิบายและการรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอีกประเภทคือ พวกคนที่ขาดสติ พยายามผูกศรัทธาและความเชื่อต่างๆเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
3. Mystic River (2003)
รูปแบบการสำรวจตัวละครที่มีความลึกซึ้งและน่าสนใจอย่างถึงที่สุด โดยค่อยๆสร้างบรรยากาศของความตึงเครียดและเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดที่ถูกซุกซ่อนในจิตใจของตัวละครอย่างช้าๆ แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ข้อเท็จจริงถูกปะปนอยู่ในภาพลวง และหากทุกอย่างไม่ถูกเปิดเผยตามกระบวนการ ก็เป็นเรื่องยากที่จะจับมันออกมาแยกแยะ โดยพล็อตว่าด้วยหญิงสาววัย 19 ปีที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ผู้เป็นพ่อพยายามสืบเสาะค้นหาความจริงด้วยตนเอง ในขณะเดียวกันพฤติกรรมอันน่าสงสัยของคนใกล้ตัวก็ค่อยๆถูกเปิดออก
2. Incendies (2010)
หนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าจดจำมากที่สุดของ Denis Villeneuve เดินเรื่องภายใต้สภาวะตึงเครียดโดยใช้บริบทของสงครามเพื่ออธิบายอุดมการณ์ของตัวละคร และที่สำคัญหนักแน่นด้วยโทนลึกลับ ความซ่อนเร้นเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนามากมาย และนำมาซึ่งความจริงอันน่าสะพรึง ที่ซ่อนไว้ซึ่งความเจ็บปวดและความสวยงาม กับเรื่องราวของสองพี่น้องฝาแฝดที่ต้องทำตามพินัยกรรมของผู้เป็นแม่ ในการนำจดหมายสองฉบับไปให้พ่อและพี่ชาย ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
1. Oldboy (2003)
บางทีนี่อาจเป็นหนังเกาหลีที่คนไทยรู้จักกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ประการแรกด้วยพล็อตอันโดดเด่น ทำให้เกิดการความรู้สึกสนใจและมีการพูดถึงบอกต่อกัน ว่าด้วยชายคนหนึ่งที่พยายามสืบหาผู้อยู่เบื้องหลัง ที่จับตัวเขาไปขังไว้ในห้องเล็กๆเป็นระยะเวลานานถึง 15 ปี ประการที่สอง เทคนิคการถ่ายทำที่ยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยชั้นเชิงและลูกเล่นมากมาย ฉากลองเทคที่ผนวกใช้ในฉากต่อสู้ได้อย่างสร้างสรรค์ และประการที่สาม การหักมุมที่ขยี้ความรู้สึกของคนดูให้ดำดิ่งและหดหู่ได้อย่างสุดขั้ว
ฝากช่องทางการติตตามของ จขกท. พันทิปไว้ด้วยจ้า
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือ นิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน
In The Darkness