หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ประเทศไทยยังไม่พ้นวิกฤตมลพิษทางอากาศ PM2.5 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560

โพสท์โดย greenpeaceth

หากในพื้นที่ใดมีมลพิษทางอากาศ ประชาชนผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง นอกเสียจากจะย้ายถิ่นฐาน มลพิษทางอากาศจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเผชิญร่วมกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 หลายเมืองในประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หากประเทศไทยยังคงละเลยการแก้ไขมลพิษทางอากาศที่กำลังเป็นปัญหาเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดเผยข้อมูลจากการประมวลค่าเฉลี่ยของความเข้มข้นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM2.5) จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 19 จุดใน 14 เมืองทั่วประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ในงาน “Unmask Our Cities: อัพเดทสถานการณ์มลพิษ PM2.5” โดยระบุว่า ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ PM 2.5 ทั้ง 14 เมืองเกินค่าความปลอดภัยตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และมี 10 เมืองจากทั้งหมด 14 เมือง ที่มีความเข้มข้นเฉลี่ยของ PM2.5 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 สูงกว่าระดับความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไปของประเทศไทย ซึ่งตั้งไว้ว่าไม่ควรเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อปี

ข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายนปีนี้ พบว่า 2 พื้นที่เมืองที่มีค่าเฉลี่ยของความเข้มข้น PM2.5 สูงสุด ได้แก่ขอนแก่น (44 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และสระบุรี (40 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ซึ่งสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ถึง 4 เท่า และมีอีก 8 พื้นที่เมืองที่ยังต้องเผชิญกับปัญหา ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ(พระประแดง) ปราจีนบุรี(ท่าตูม) ราชบุรี(เมือง) สมุทรสาคร(เมือง) ลำปาง(แม่เมาะ) เชียงใหม่(เมือง) และตาก(แม่สอด) โดยมีค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ PM 2.5 ที่อยู่ในระดับที่สูงตั้งแต่ 26 ถึง 39 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

คลิกที่นี่เพื่อดูภาพใหญ่

มลพิษทางอากาศเป็นประเด็นการจัดการสิ่งแวดล้อมประการหนึ่งที่รัฐบาลไทยยังล้มเหลวที่จะแก้ไขปัญหา โดยที่ฝุ่นละอองPM 2.5 ยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน แนวคิดที่ว่า “ได้อย่างย่อมเสียอย่าง” ไม่ควรเป็นหลักการที่ควบคู่กับการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ โดยที่ยอมแลกด้วยสุขภาพของประชาชนที่สูญเสียไปเนื่องจากสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย

ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างแท้จริง จำเป็นจะต้องแก้จากแหล่งกำเนิดมลพิษ และทำความเข้าใจกับปัญหา ซึ่งแนวทางต่อกรกับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่กรมควบคุมลพิษควรเร่งดำเนินการเพื่อปกป้องสุขภาพของคนไทย คือ ปรับปรุงดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยโดยนำค่าเฉลี่ยของ PM2.5 มาใช้ในการคำนวณ (PM2.5 AQI)

มลพิษทางอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน

ภายในงานเสวนาเรื่อง “ฝุ่นละออง PM2.5 แผนการจัดการมลพิษทางอากาศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย” ได้ถกถึงมาตรฐานการค่ามลพิษของไทยที่ยังขาดการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งนอกจาก PM2.5 แล้ว ยังรวมถึงสารพิษต่าง ๆ อาทิ พีเอเอช (โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน) สารหนู แคดเมียม และปรอท ซึ่งเป็นสารพิษองค์ประกอบหลักของ PM2.5

“ฝุ่นพิษ PM2.5 ร้ายกว่าปรอท หรือตะกั่วซึ่งมีสารพิษเพียงตัวเดียว PM2.5 เป็นสหสารพิษ และมีสารอิททรีย์ระเหยง่ายที่เป็นสารก่อมะเร็ง ปัญหาสำคัญคือประเทศไทยไม่มีการรวบรวมข้อมูลด้านมลพิษ ตั้งแต่ประเทศไทยให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบันนี้เรายังคงไม่รู้ว่ามีแหล่งปล่อยมลพิษในประเทศอยู่กี่แห่ง แล้วเราจะควบคุมได้อย่างไร” คุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว

ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการ ป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวเสริมว่า “ไทยยังไม่มีการกำหนดว่าสารพีเอเอชเป็นสารอันตราย ทั้งที่ประเทศอื่นกำหนดหมดแล้ว จากที่ได้ทำการวิจัยพบว่า สารพีเอเอชในมลพิษทางอากาศที่เชียงใหม่เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 906 มวน และในการตรวจสอบการกระจายตัวของพีเอเอชที่กรุงเทพฯพบว่ามีการกระจายตัวสูงสุดที่ดินแดง รองลงมาที่โชคชัยสี่ ตัวอนุภาค PM2.5 ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง แต่สามารถนำพาสารก่อมะเร็งได้ อุปมาคือฝุ่นคือรถยนต์ สารก่อมะเร็งเป็นผู้ก่อการร้าย ยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไร ยิ่งนำพาสารก่อมะเร็งไปได้ไกล”

นอกจากนี้ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการวิจัยในระหว่างช่วงหมอกควันพิษทางภาคเหนือตอนบนว่า ในช่วงที่กำลังเกิดการเผาไหม้กับช่วงที่มีแต่ควัน ผลที่ได้คือค่ามลพิษไม่ต่างกัน “สิ่งที่มีผลเสียอย่างต่อเนื่องคือไอเสียจากยานพาหนะ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของสารก่อมะเร็ง ถ้าอยากลดสารก่อมะเร็งใน PM2.5 ของภาคเหนือตอนบน คือต้องลดยานพาหนะ” ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ กล่าว

ในงานนี้ คุณเสกสรร แสงดาว ผู้อํานวยการส่วนแผนงาน กรมควบคุมมลพิษ ได้อัพเดทความคืบหน้าของการดำเนินงานของกรมควบคุมมลพิษว่า มีการขยายสถานีตรวจวัด PM2.5 และกำลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวม PM2.5 เข้าไปในดัชนีคุณภาพอากาศ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นทดลอง

“ประเทศไทยต้องยอมรับว่า ค่า PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็งตามประกาศของ WHO จึงต้องควบคุมที่แหล่งกำเนิดให้ปล่อยฝุ่นละอองออกมาไม่เกินมาตรฐาน โดยกำหนดให้มีการจัดทำบัญชีการปล่อย PM2.5 จากทุกแหล่งกำเนิดก่อน รวมถึงปรับปรุงค่ามาตรฐานในบรรยากาศและแหล่งกำเนิดให้สอดคล้องกับประเทศใกล้เคียง เช่น จีน สิงคโปร์ ยุโรป เป็นต้น” คุณสนธิ คชวัฒน์ เลขาธิการชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย เสนอแนะ

ความเข้มข้นของ PM2.5 ในเขตเมืองเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แม้ว่าประเทศไทยได้รับรองเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนแต่ยังต้องมีความพยายามอีกมากในการทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตกลงร่วมกันในประชาคมโลก รวมถึงเป้าหมายข้อที่ 3 ว่าด้วยการ สร้างหลักประกันให้คนมีชีวิตที่มีคุณภาพและส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของคนทุกเพศทุกวัย และเป้าหมายข้อที่ 11 ว่าด้วยการทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัย ความต้านทานและความหยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

“ปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ เรายังพูดว่าไม่เกินมาตรฐาน แต่ไม่ใช่มาตรฐานองค์การอนามัยโลก เป็นมาตรฐานของตน แผนทุกแผนของรัฐบาลหลังจากนี้ ไม่มีพูดถึงมลพิษทางอากาศเลย ประชาชนไม่ทราบว่าถ้าโครงการใดเกิดขึ้นจะเกิดผลกระทบและมลพิษมากเพียงใด เรามักพูดว่า เรามีทางเลือก แต่เรามีแต่เรื่องต้องเสีย ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ประเทศจะเกิดมลพิษน้อยที่สุดหรือหายนะมากที่สุดหากเรากำหนดแผนพัฒนา มลพิษทางอากาศเป็นเรื่องปลายจมูก แต่มีความสำคัญมาก ทั้งที่ทุกวินาทีคนไทยกำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศ ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน การพัฒนามีทางเลือกของมัน ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก เราสามารถผันตัวเองสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ขึ้นอยู่กับว่าให้ความสำคัญมากน้อยแค่ไหน” จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวทิ้งท้าย

เขียนโดย รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์

ที่มา : www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/pm25-2560/blog/60005/


ติดตามกรีนพีซเพิ่มเติมที่

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
greenpeaceth's profile


โพสท์โดย: greenpeaceth
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
16 VOTES (4/5 จาก 4 คน)
VOTED: ซาอิ, taotong, ผมชื่อ ไอ้โง่
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สะเทือนใจ! เด็กถูกสุนัขกัดกลางถนน ไม่มีใครช่วยมาดู ข้อห้ามที่ห้ามทำในสงครามเเตเเต มิสแกรนด์พม่า แต่งหน้าไม่สวยเหมือนตอนอยู่ไทยผัวช็อก!! หลังเมียคลอดลูกออกมา ลูกมีผิวดำเจอแก๊สรั่วแบบนี้ ปิดวาล์วตรงไหนดีเสร็จโจร!! เมื่อเจ้าตูบใช้จังหวะตอนทาสเสียหลักล้ม ฉกขนม โถนึกว่าจะมาช่วย 😂เพราะอะไร? หัวหน้าแก๊งโจรเผย เหตุห้ามบุกปล้นบ้านของเมสซี่อย่างเด็ดขาด!เพื่อนบ้านแฉ หมอดูฮวงจุ้ย พ่อขับแท็กซี่ ได้วิชาจากลูกค้านั่งรถเป็นซินแสชม ยอยักษ์ กับวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่ทะเลน้อย พัทลุง"หมูเด้ง" ทายผลว่า "ทรัมป์" จะชนะการตั้งมะกันผู้เสียหายเดินหน้า แจ้งความเอาผิด “หมอดูฮวงจุ้ย” ขณะนี้มีมูลค่าความเสียหาย มากกว่า 70 ล้าน ตร.ยัน เข้าข่ายฉ้อโกง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เเตเเต มิสแกรนด์พม่า แต่งหน้าไม่สวยเหมือนตอนอยู่ไทยผัวช็อก!! หลังเมียคลอดลูกออกมา ลูกมีผิวดำสาววัย 26 เมียมหาเศรษฐี เปิดเผย 'กฎเกณฑ์' ที่สามีกำหนด ทำชาวเน็ตตะลึง!สะเทือนใจ! เด็กถูกสุนัขกัดกลางถนน ไม่มีใครช่วย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
น้ำมันตับปลา ยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก สู่ช้อนชาในโรงเรียนอังกฤษสรุป สงครามโลกครั้งที่1!!argue: โต้เถียงbreathe: หายใจ
ตั้งกระทู้ใหม่