ย้อนอดีตระเบิดปรมาณู Little Boy ที่ฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 ส.ค.1945 อาวุธสงครามที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยรู้จัก
[ย้อนอดีต ] - ระเบิดปรมาณู Little Boy ที่ฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เป็นหมายหมุดสำคัญในประวัติศาสตร์การสงครามครับ เพราะเป็นครั้งแรกที่ผู้คนได้ประจักษ์ถึงพลานุภาพของอาวุธสงครามที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยรู้จัก
Little Boy
.
เพียงชั่ววูบแสงสว่าง เมื่อเวลา 8.15 น. ควันสีขาวพวยพลุ่งเหนือพื้นที่เมืองฮิโระชิมะ มีผู้เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูครั้งนี้หลายแสนคน ทั้งที่หลอมละลายในทันที และที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสารกัมตรังสี
Fat Man
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 ในชื่อ Fat Man ก็ถูกทิ้งลงเหนือพื้นที่เมืองนะงะซะกิ สร้างความเสียหายรุนแรงไม่แพ้กัน ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งตกอยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงครามต้องประกาศความพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข
.
ความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง คือตราบาปครั้งสำคัญของญี่ปุ่นครับ จากประเทศที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ชนชาติอื่นใดมาตลอดประวัติศาสตร์นับพันปี แต่กลับกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ถูกทำลายด้วยระเบิดปรมาณูถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์
.
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นตั้งรับศึกใหญ่จากภายนอกอยู่ 2 ครั้ง แต่ในขณะที่กำลังจะพ่ายแพ้ พายุไต้ฝุ่นก็พัดโหมเข้าทำลายกองทัพเรือของข้าศึกทุกครั้งไป ญี่ปุ่นจึงรอดมาได้
.
ในยุคจักรวรรดินิยม ญี่ปุ่นไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร เพราะญี่ปุ่นสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรวรรดิ เป็นเจ้าอาณานิคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกลเสียเอง
.
คนญี่ปุ่นเชื่ออย่างหนักแน่นว่า ตนเองคือชนชาติที่เทพเจ้าทรงคุ้มครอง เมื่อใดที่ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำในสงคราม สายลมแห่งเทพเจ้าจะพัดพาความชั่วร้ายออกไป นำชัยชนะและความสงบสุขกลับคือสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
.
สายลมแห่งเทพเจ้า ในภาษาญี่ปุ่นคือ คะมิคะเซะ ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อฝูงบินรบพลีชีพของญี่ปุ่นในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง
.
ก่อนสิ้นสุดสงคราม สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะทรงบันทึกพระสุรเสียงคำประกาศยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งก็มีนายทหารผู้จงรักภักดีจำนวนหนึ่งพยายามทำลายแผ่นบันทึกเสียงนั้น เพื่อรักษาเกียรติยศของพระองค์เอาไว้
.
คำประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ฯ เป็นการเผยแพร่พระสุรเสียงของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะแก่ราษฎรทั่วประเทศเป็นครั้งแรก ผู้คนยืนสงบนิ่ง ก้มศีรษะ หลบสายตาต่ำ หรือก้มกราบลงแทบพื้น รับฟังคำประกาศพร้อมกับสายน้ำตาที่หลั่งไหลลงอาบแก้ม
.
ในมุมมองของคนญี่ปุ่นสมัยนั้น สมเด็จพระจักรพรรดิไม่ใช่สมมติเทพ (God-like) แต่เป็นเทพเจ้าในร่างมนุษย์ ชนชาติญี่ปุ่นมีความสูงส่งกว่าชนชาติอื่น และถูกลิขิตมาให้ปกครองโลกใบนี้
.
หลายคนยังเชื่อว่านี่เป็นกลลวงของข้าศึก เพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศของเทพเจ้า ไม่มีวันแพ้สงคราม
.
อย่างไรก็ดี ความบอบช้ำจากระเบิดปรมาณูกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความพ่ายแพ้และอัปยศอดสูอย่างเหลือล้น (outweighed stage of humiliation) ซึ่งญี่ปุ่นใช้เป็นเครื่องมือปกปิดความโหดร้ายของตนเองในสงครามโลกมาตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี
.
ทุกวันนี้ หากนักท่องเที่ยวมีโอกาสเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สันติภาพในญี่ปุ่น จะสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของระเบิดปรมาณู ความบอบช้ำของผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงท้ายสงคราม
.
แต่การกระทำอันโหดร้ายของญี่ปุ่นในช่วงต้นของสงครามกลับเลือนหายไปในกลุ่มควันสีขาวเหนือเมืองฮิโระชิมะและนะงะซะกินั้นเอง
.
รัตนาดิศร
6 สิงหาคม 2560
อิบะระกิชิ โอซะกะฟุ
ภาพ กลุ่มควันรูปดอกเห็ดจากระเบิดปรมาณู Little Boy บนท้องฟ้าเหนือเมืองฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945
.
ความเชื่อเรื่องสมเด็จพระจักรพรรดิและความสูงส่งของชนชาติญี่ปุ่น มีอยู่ในหลักศาสนาชินโต โดยหลักฐานสำคัญที่ยืนยันความมีอยู่จริงของความเชื่อนี้คือ คำประกาศความเป็นมนุษย์ (นิงเง็น เซ็งเง็น 人間宣言) ในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ เมื่อปี ค.ศ. 1946
https://www.facebook.com/JapanNutshell/photos/a.514361938718018.1073741828.514237958730416/889226334564908/?type=3&theater