10 เรื่องจริงของโพคาฮอนทัสเจ้าหญิงอาภัพผู้ถูกทารุณและข่มขืน
“โพคาฮอนทัส” เป็นหนึ่งในเจ้าหญิงของดิสนี่ย์ จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของเธอคือ เป็นสมาชิกของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน หรือก็คือ อินเดียนเอง นั่นเอง ในภาพยนตร์ของดิสนี่ย์ เธอได้พบรักกับจอห์น สมิธ ผู้เป็นนักเดินทาง ทั้งสองเป็นคู่รักต่างชาติ ต่างภาษา ต่างเผ่าพันธุ์ และเป็นต้นแบบของคำกล่าวที่ว่า “ความรักไร้พรมแดน”
ทว่า เรื่องราวจริงทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แบบนั้นเลย โพคาฮอนทัสต้องเผชิญกับความเจ็บปวด การทารุณร่างกาย ถูกข่มขืน
และทำร้ายศักดิ์ศรีโดยคนผิวขาว นักประวัติศาสตร์ถึงกับสรุปว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องพบชะตากรรมเลวร้ายและมืดมนที่สุด
ในประวัติศาสตร์
10. พ่อของโพคาฮอนทัสเป็นพวกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เมื่อ จอห์น สมิธ เดินทางมาถึงอเมริกา เรือของเขาจอดที่ อ่าวเชซาพีก (Chesapeake Bay) ทว่าแทนที่จะได้พบชนเผ่าเชซาพีก
อย่างที่ควรจะเป็น เขากลับได้พบกับ หัวหน้าเผ่าชื่อ พาวแฮทัน ผู้เป็นพ่อของโพคาฮอนทัสแทน พาวแฮทันเป็นผู้ควบคุมชนเผ่าทั้งหมด 30 เผ่า ประชากรรวมแล้ว 15,000 คน กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ที่ปัจจุบันคือมลรัฐเวอร์จิเนีย
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า หนึ่งปีก่อนที่สมิธจะมาถึง พาวแฮทันได้เข้าโจมตีชนเผ่าเชซาพีก ที่ขณะนั้นมีประชากรเพียง
3-400 คน อยู่กันอย่างสงบ เขาและกลุ่มนักรบจำนวนมาก ล้อมรอบหมู่บ้าน และสังหารหมู่ทุกคน แล้วยึดครองอ่าวเชซาพีก
มาเป็นของตนอย่างเลือดเย็น
9 โพคาฮอนทัสกับจอห์น สมิธ ไม่ได้รักกันอย่างคนรัก
ตอนที่โพคาฮอนทัสได้พบจอห์น สมิธครั้งแรก เธออายุเพียง 11 ขวบ ส่วนจอห์น สมิธอายุ 28 แล้ว ทั้งคู่ไม่ได้รักกันจริงอย่างที่
นิยายเขียนไว้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะดูโรแมนติก และคล้ายพล็อตนิยาย จนทำให้ผู้อ่านอดไม่ได้ที่จะจินตนาการต่อ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เล่าไว้ว่า... ณ เวลานั้น พาวแฮทัน หัวหน้าเผ่าผู้เป็นพ่อของโพคาฮอนทัสกังวลอย่างหนัก ที่ชาวยุโรป
บุกเข้ามาในพื้นที่ของเขา เมื่อจับตัวสมิธได้ พาวแฮวันก็สั่งให้น้องชายจับตัวคนขาวผู้นี้เอาไว้ และเตรียมจะสังหารด้วยวิธีทุบหัว
ทว่าเด็กหญิงโพคาฮอนทัสเข้ามาบังร่างของสมิธไว้และขอร้องให้พ่อไว้ชีวิตเขา ความมีน้ำใจและสงสารของเด็กหญิงถูกหลายๆ
คนตีความว่าเป็นความรัก
แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ให้ความเห็นว่าสมิธอาจกุเรื่องนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของชาวเผ่า
ให้ดูดีขึ้นในสายตาของคนอังกฤษ
8 จอห์น สมิธและพาวแฮทัน ต่างก็ข่มขู่และคิดจะฆ่ากัน
จอห์น สมิธไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียว แต่มาพร้อมกับสุภาพบุรุษชาวอังกฤษกลุ่มใหญ่ แน่นอนว่าคนขาวพวกนี้ไม่คุ้นเคยกับ
การทำงานหนักและยังปฏิเสธที่จะทำด้วย เมื่อพาวแฮทันแบ่งพื้นที่ให้พักอาศัย คนขาวไม่คิดจะเพาะปลูกหรือทำงานกลางแจ้ง
และนั่นทำให้พวกเขาทั้งกลุ่มอดอยากปากแห้ง เมื่อไม่มีทางเลือกสมิธจึงต้องขอความช่วยเหลือจากพาวแฮทัน
ทว่ากลับได้รับการปฏิเสธ พาวแฮทันอ้างว่าไม่มีอาหารสำรอง และถือโอกาสนี้ขับไล่กลุ่มของสมิธออกจากพื้นที่ของเขา
สุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างข่มขู่จะฆ่ากัน สมิธประกาศว่า “อาวุธที่เขานำมานั้นร้ายแรงพอจะทำร้ายใครก็ได้”
ส่วนพาวแฮทันก็โต้ตอบว่า “ถ้าสมิธคิดจะฆ่าเขา เขาจะฆ่าอีกฝ่ายก่อน” และนั่นไม่ใช่แค่คำขู่ พาวแฮทันเอาจริง
เขาถึงกับวางแผนจะฆ่าคนขาวทั้งกลุ่ม ทว่าแผนการนี้ต้องล้มเหลวไป เนื่องจากโพคาฮอนทัสแอบไปเตือนกลุ่มของสมิธก่อน
7 จอห์น แรคคลิฟฟ์ ถูกถลกหนังและเผาทั้งเป็น!
ในภาพยนตร์ของดิสนี่ย์ ตัวละคร จอห์น แรคคลิฟฟ์ คือศัตรูจอมละโมบ ทว่าในชีวิตจริง แรคคลิฟฟ์เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อสมิธบาดเจ็บเพราะถูกระเบิด และต้องเดินทางกลับอังกฤษ แรคคลิฟฟ์ได้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาแทน และนั่นเป็นการตัดสินใจ
ที่ผิดพลาดมากที่สุด! เพราะเมื่อสมิธจากไป พาวแฮวันก็เลิกนโยบายแบ่งปันอาหารให้กับผู้บุกเบิก เมื่อทุกคนอดอยากปากแห้ง
แรคคลิฟฟ์ก็กลายเป็นผู้รับกรรมแทนสมิธ และเขาก็ต้องเจอกับสถานการณ์เดียวกัน คือต้องเดินทางไปเจรจากับพาวแฮวัน
เพื่อขอแบ่งส่วนอาหาร แรคคลิฟฟ์คิดว่าฉลาดแล้วที่ขอปันข้าวโพดจากหัวหน้าเผ่า
ทว่าเขาทำพลาดที่พาคนของตนเข้าไปเก็บข้าวโพดจากไร่ของนักรบคนสำคัญในเผ่า แน่นอนว่านักรบคนนั้นโกรธมาก เขาจัดการ
ฆ่าคนขาวทั้งหมด ส่วนแรคคลิฟฟ์ผู้เป็นหัวหน้า ถูกจับมัดกับต้นไม้ เปลือยกายล่อนจ้อน นักรบผู้นั้นค่อยๆ แล่เนื้อเขาทีละนิด
อย่างใจเย็น ก่อนจะจุดไฟเผาเขาทั้งเป็น...!
6 โพคาฮอนทัสถูกลักพาตัวและข่มขืน!
หลังจากปะทะกันทั้งทางตรงและทางอ้อมมาหลายครั้ง ในที่สุด คนขาวก็ทนไม่ไหว เปิดศึกอย่างเป็นทางการ ผู้คนจำนวนมากล้มตาย และในที่สุด โพคาฮอนทัส สาวน้อยผู้ใจดีก็ถูกลักพาตัว! ชายผู้ลักพาตัวเธอคือ กัปตันอาร์แกล
เหตุผลที่คนขาวเลือกเธอเพราะต้องการต่อรองกับหัวหน้าเผ่า อาร์แกลฆ่าโคกวม สามีของโพคาฮอนทัสอย่างเลือดเย็น ทั้งยังตั้งใจจะฆ่าลูกชายของเธอด้วย โชคดีที่เด็กน้อยถูกซ่อนเอาไว้ โพคาฮอนทัสถูกจับและโดนชาวผิวขาวข่มขืนอย่างเลือดเย็น
สุดท้าย แม้ว่าพาวแฮวันจะยอมแลกเปลี่ยนอาวุธและทำตามข้อตกลง เพื่อแลกกับชีวิตของลูกสาว อาร์แกลกลับไม่ซื่อสัตย์
โพคาฮอนทัสยังคงถูกคุมขังไว้ เพื่อข้อแลกเปลี่ยนอื่นๆ อันเป็นประโยชน์แก่ชาวผิวขาวในอนาคต...
5 หลังจากถูกข่มขืน โพคาฮอนทัสตั้งท้องและคลอดลูก
หลังจากถูกจับตัวมาที่ยุโรป โพคาฮอนทัสก็ตั้งท้องและคลอดลูก ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากเหตุการณ์ที่เธอถูกข่มขืน ต่อจากนั้น
เธอได้พบกับ จอห์น รอล์ฟ และสมรสกับเขา ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทั้งสองชาติ ณ เวลานั้น
ชาวยุโรปมองโพคาฮอนทัสเป็นเหมือนเจ้าหญิง และรอล์ฟก็คาดหวังกับเธอไว้มาก
เขาวางแผนปลูกกัญชาในดินแดนของเธอ และต่อมา มันกลายเป็นสินค้าส่งออกราคาแพง เท่ากับว่าการแต่งงานครั้งนี้
แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยผลประโยชน์ และอาจไม่มีความรักเลยก็ได้
4 สุดท้าย โพคาฮอนทัสและสมิธกลายเป็นคนแปลกหน้า
โพคาฮอนทัสรักและเคารพสมิธอย่างจริงใจ ทว่าสมิธไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เมื่อบาดเจ็บและต้องกลับอังกฤษ เขาไม่ได้บอก
เรื่องนี้กับเธอ แต่ปล่อยให้เธอคิดว่าเขาตายแล้ว...
ต่อมาเมื่อโพคาฮอนทัสถูกจับตัวไปที่ยุโรป เธอได้พบสมิธโดยบังเอิญและดีใจมากที่ได้รู้ว่า... คนที่เธอมองเป็นเหมือน ‘พ่ออีกคน’ ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าสมิธกลับเย็นชากับเธอ และปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า
คำพูดสุดท้ายของทั้งคู่คือประโยคเด็ดของโพคาฮอนทัส
“ตอนอยู่อเมริกา คุณสนิทสนมและปฏิบัติกับฉันเหมือนลูกสาว แต่พอมาอยู่ในดินแดนของคนขาว
คุณกลับทำเหมือนอับอายที่จะเป็นพ่อของฉัน”
3 โพคาฮอนทัสตายเมื่ออายุได้ 21 ปี
ระหว่างที่โพคาฮอนทัสถูกจับไปยุโรป สงครามระหว่างพาวแฮทันและคนขาวยุติลงชั่วคราว พาวแฮทันกลัวว่าถ้าดึงดันต่อไป
จะเป็นอันตรายต่อลูกสาวคนโปรด เมื่อรู้ว่าโพคาฮอนทัสกำลังจะเดินทางกลับมายังอเมริกาพร้อมกับสามีใหม่ พาวแฮทัน
ตื่นเต้นมาก เขาอยากเจอลูกสาวและหลานชาย
ทว่าโชคร้าย โพคาฮอนทัสล้มป่วยบนเรือและเสียชีวิต เมื่อโพคาฮอนทัสตาย จอห์น รอล์ฟก็หันเรือย้อนกลับอังกฤษ
แม้ในเวลาต่อมา เขาจะกลับมาที่เวอร์จิเนียอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พาลูกชายของโพคาฮอนทัส, หลานชายอีกคนของพาวแฮทันมาด้วย
พาวแฮทันตายในอีกไม่กี่ปีต่อมา โดยไม่มีโอกาสได้ร่ำลาลูกสาวคนนี้
2 ลุงของโพคาฮอนทัสเป็นผู้นำการฆาตกรรมหมู่
หลังจากพาวแฮทันเสียชีวิต พี่ชายของเขา อัลกอนควิน (Opechancanough) ก็เข้าควบคุมชนเผ่าทุกเผ่า ณ เวลานั้น
เส้นทางการค้ากัญชาของรอล์ฟได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นผลให้ผู้บุกเบิกชาวยุโรปจำนวนมาก ตัดสินใจเดินทางมายังอเมริกา
และเริ่มสร้างอาณานิคมของตน อัลกอนควินไม่ต้องการรักษาความสงบและไมตรี เขาไม่เห็นด้วยที่คนผิวขาวจะเข้ามายึดดินแดน
ที่เคยเป็นของตน วันหนึ่ง เขาและพรรคพวกตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองเจมส์ทาวน์ ทำทีว่าจะมาจำหน่ายผลผลิต
เมื่อเข้าเมือง พวกหยิบอาวุธทุกชนิดที่เห็น จากนั้นก็ฆ่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในสายตา ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือผู้หญิง
เหตุการณ์นี้เองคือจุดสิ้นสุดมิตรภาพทั้งหมดที่โพคาฮอนทัสพยายามสร้าง หลังจากนั้น ชาวยุโรปกับชาวอเมริกันพื้นเมือง
ก็แตกแยกกันโดยสิ้นเชิง
1 คนจากเผ่าของโพคาฮอนาทัสถูกฆ่าและทำลายเกือบทั้งหมด
หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เจมส์ทาวน์ สงครามที่สงบลงไปแล้วเริ่มต้นอีกครั้ง อัลกอนควินได้เปิดฉากสงครามที่รุนแรง
ที่สุดในประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าพวกคนขาวไม่ยอมแพ้ พวกเขาโต้กลับอย่างรวดเร็ว ด้วยการล่อลวงชนพื้นเมืองมาพูดคุย
เจรจาอย่างสันติ จากนั้นก็วางยาพิษพวกเขา ลูกชายของโพคาฮอนทัสอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย เขาเองก็ร่วมมือฆ่าคนของแม่
อย่างเลือดเย็น
ในตอนท้าย อัลกอนควินถูกจับและถูกแห่ไปทั่วเมือง พร้อมเสียงโห่ร้องเย้ยหยันจากชาวผิวขาว คนอื่นๆ ถูกฆ่าตายเกือบทั้งหมด
พวกที่รอดมาได้ก็กลายเป็นทาส และนั่นคือจุดจบของสงครามนี้ นั่นคือคนผิวขาวเป็นผู้ชนะ
http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?PHPSESSID=2cp8gvv5b7ng6pujefdndt04u5&topic=149007.0
ขอบคุณข้อมูลประกอบและภาพจาก
http://listverse.com/2016/10/07/10-horrific-stories-disney-left-out-of-pocahontas/
http://mentalfloss.com/article/64841/15-things-you-might-not-know-about-pocahontas
http://www.kingscreekplantation.com/blog/pocahontas-didnt-marry-john-smith-and-other-facts-about-jamestown/
http://www.businessinsider.com/the-real-story-of-pocahontas-2014-4
http://www.newhistorian.com/the-death-of-pocahontas/3309/