Dagmar Overbye ผู้หญิงบ้าฆ่าเด็ก
Dagmar Overbye ผู้หญิงบ้าฆ่าเด็ก
ดักมาร์ก โอเวอร์บาย ชื่อนี้หลายคนอาจไม่รู้จักเธอมากนัก แต่ในทำเนียบประวัติศาสตร์ฆาตกรระดับโลกทั้งหลาย เธอจัดอยู่ในฆาตกรที่เลวร้ายที่สุดประวัติศาสตร์ของประเทศเดนมาร์ก
ในด้านความโหดเหี้ยมนั้นไม่แพ้ฆาตกรคนอื่นเลยทีเดียว เพราะเหยื่อกว่า 25 ราย ส่วนใหญ่เป็นทารก ซึ่งเธอฆ่าพวกเขาด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมเท่าที่คนจะคิดได้ โดยสาเหตุที่เธอฆาตกรรมเหล่าทารกนั้นไม่มีแรงจูงใจใดๆ ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าทารกถือว่าเป็นเหยื่อชั้นดีของฆาตกรต่อเนื่อง พวกเขาไม่มีทางขัดขืน หรือต่อสู้อะไรได้ พวกเขาเพียงแค่รอถูกฆาตกรเชือดเท่านั้น
ดักมาร์ก โอเวอร์เป็นหญิงสาวที่มีบุคคลห่ามต่อต้านสังคม และมีความชั่วร้าย ก่อคดีเลวร้ายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโจรกรรมหรือต้มตุ๋น จากเด็กที่หนีออกจากบ้านเมื่ออายุ 12 ปีได้กลายเป็นคนฆาตกรหฤโหดฆ่าเด็กทารกด้วยวิธีการ ที่โหดร้ายด้วยการบีบคอพวกเขาแล้วจับโยนกองไฟหรือจมน้ำ และในจำนวนเด็กทารกเหล่านั้นมีลูกของตนเองรวมอยู่ด้วย
ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่พฤติกรรมเหล่านี้ของเธอ ทำให้กลายเป็นฆาตกรที่เลวร้ายที่สุดในเดนมาร์กไป
ดักมาร์ก โอเวอร์เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 1887 ในครอบครัวหนึ่งในเดนมาร์ก ซึ่งเธอได้อ้างว่าถูกทารุณกรรมทางเพศ ตั้งแต่เด็ก แม้ว่าไม่ได้รับพิสูจน์เรื่องที่เล่าเป็นจริงมากเพียงไร แต่สิ่งที่รู้คือเธอหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 12 ปี กล่าวกันว่าเด็กวัยนี้เป็นวัยที่เต็มไปด้วยความรุนแรงด้านอารมณ์ เส้นแบ่งกั้นความดีและความเลวเบาบาง ซึ่งส่งผลต่อเด็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจอะไรเลย ที่ทำให้ดักมาร์กกลายเป็นคนเลือดเย็น ทำความผิดซ้ำซาก การดำเนินชีวิตที่ผิดปกติและมีความเข้าใจผิดในเรื่องมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลทำให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์คนอื่นเพื่อชดเชยชีวิตที่เหลวแหลกของเธอตั้งแต่เด็กในเวลาต่อมา....
สามปีต่อมา...ดักมาร์กได้กลับไปหาครอบครัวเธอ เธออยากเป็นแม่คน และที่น่าขนหัวลุกคือในช่วง 1909-1913 นับจากเธอมีลูกคนแรก เธออาศัยอยู่กินกับชายสี่คน และเธอมีลูกให้พวกเขาทั้งหมด แต่เด็กทั้งสองคนของเธอเสียชีวิตจากเหตุลึกลับ และลูกชายอีกคนของเธอถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ!!
เริ่มจากลูกคนแรก ตอนนั้นเธอได้ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหาร และมีเพศสัมพันธ์กับพนักงานที่นั้น และได้ตั้งครรภ์
และให้กำเนิดลูกคนแรกของเธอ อย่างไรก็ตามทารกก็เสียชีวิตลงในเวลาไม่นาน ขณะที่ดักมาร์กอาศัยอยู่กับแม่ของเธอ
การสูญเสียลูกคนแรก เธอก็อยากมีลูกอีก ในปี 1913 เธอแต่งงานกับชายคนหนึ่ง และเป็นแม่คน แต่เวลานั้นสภาพครอบครัวยากจนมาก ทำให้การใช้ชีวิตของคนทั้งคู่ไปไม่รอด ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์กับนายจ้างของเธอ และเด็กก็ลืมตาบนโลก แต่เวลานั้นเธอไม่ต้องการที่จะเป็นแม่ของเด็กในท้อง และไม่นานเด็กคนนั้นก็ถูกฆ่าตาย........(โดยไม่มีการสอบสวนอะไรมากมาย)
หลังจากเด็กตาย ดักมาร์กก็ย้ายบ้านไปโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก ที่นั่นเธอได้งานทำในร้านขนมและไม่นาน
หลังจากนั้นเธอก็พบรักกับชายคนหนึ่ง และอยู่กับกับเขาจนตั้งครรภ์และให้กำเนิด แต่ไม่นานเด็กก็เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงอันตรายเข้าขั้น แต่หลายฝ่ายเลือกที่จะไม่ใส่ใจหรือเอาเรื่องกับเธอ และหลังจากนั้นชีวิตของเธอก็ไม่ค่อยเสียหรูมากนัก ต่อมาในช่วงปี 1913-1920 ช่วงระยะเวลา 7 ปีดังกล่าวเธอก็ได้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก เมื่อเธอก่อคดีฆ่าเด็กทารกไปจำนวน 25 คน (ยืนยันได้เพียงไม่กี่ราย )
ในตอนนั้นเธอทำงานเป็นผู้ดูแลเด็กนอกสมรส ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ทันทีที่เด็กอยู่ในอุ้มมือเธอเมื่อไหร่ เธอจัดบีบคอเด็ก จับกดน้ำ หรือแม้กระทั้งโยนเขาทั้งเป็นบินกองไฟในเตาผิง
เรียกว่านังบ้าฆ่าเด็กอย่างแท้จริง......
ไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจของเธอคืออะไรแน่ชัด บ้างก็ว่าเธอเริ่มมีความคิดมาจากการเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และเห็นรายได้ดีกับการให้เงินก้อนหนึ่งให้กับของคนเลี้ยงเด็กเพื่อแลกกับการเลี้ยงลูกของพวกเธอในระยะยาว บวกกับ เธอได้กลิ่นความตาย
การระบายสัญชาตดิบที่เธอสามารถฆ่าพวกเขา
ขั้นตอนในการก่อคดีของดักมาร์กมีขั้นมีตอน เธอจะหาประกาศของแม่ผู้ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกของเธอและต้องการหาใครสักคน
มาเป็นแม่บุญธรรม เมื่อเธอเห็นโฆษณาเธอก็จะติดต่อแม่ของเด็ก จากนั้นเธอก็พบแม่เด็กก็พูดจาให้น่าเชื่อถือเพื่อให้แม่เด็ก
วางใจมอบลูกให้แก่เธอพร้อมเงินจำนวนหนึ่ง และเมื่อมีโอกาสเมื่อไหร่เธอก็ฆ่าเด็กทารกด้วยการจับกดน้ำ บีบคอ หรือเผา
ทั้งเป็นในเตาผิว และซ่อนศพในห้องใต้หลังคา ซึ่งไม่แปลกแต่อย่างใดที่หลังจากตำรวจจับกุมเธอจึงพบซากทารกจำนวนหนึ่ง
ที่ห้องใต้หลังคาของบ้านของเธอ
บางครั้งเธอก็ฆ่าเด็กทารกทันทีใด ระหว่างพาทารกไปเดินเล่น เธอมองเห็นห้องน้ำและโยนทารกในนั้นเลย....
พ่อแม่เด็กที่ให้ลูกของพวกเขาแก่นางดักมาร์กเพราะหวังว่าเธอจะเลี้ยงดูเด็กทารกอย่างดี แต่กลายเป็นว่าเธอฆ่าลูกของพวกเขาราวกับขยะไม่ปาน เธอไม่ใช่ความหวังของเด็กทารกที่พ่อแม่เลี้ยงดู แต่เป็นสิ้นหวังมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเรื่องราวความโหดเหี้ยมของดักมาร์กขึ้น ในปี 1920 เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งชื่อคาโรลีได้นำลูกชยคนเล็ก
ของเธอมาให้ดักมาร์กเลี้ยง พอวันรุ่งขึ้นเธอได้สอบถามเด็ก แต่ดักมาร์กทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เด็กไม่ได้อยู่ที่นี้ เด็กหายไปแล้ว
นั้นเองทำให้คาโรลีแปลกใจและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเธอ เธอเลยแจ้งความกับตำรวจให้นำกำลังมาค้นบ้านดักมาร์ก
ผลก็คือพวกเขาได้พบซากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกชายของเธอบนเตาผิง ซากดังกล่าวเป็นสีดำๆ ไหม้เกรียม และข้างเตาผิง
นั้นยังมีซากศพมนุษย์ทารกกองพะเนินอย่างน่าสดสยอง
ดักมาร์กถูกจับกุมทันทีและถูกนำตัวขึ้นศาล การวินิจฉัยทางจิตพบว่าดักมาร์กนั้นเป็นหญิงสาวที่อารมร์แปรปรวน ไม่มั่นคง
มีความสิ้นหวังอย่างรุนแรง ทำให้ทนายของเธอออกมาแก้ต่างว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ถูกครอบครัวทอดทิ้งจนกลายเป็นบ้า
พ่อแม่ของเธอขาดความรับผิดชอบในการเลี้ยงดู อีกทั้งเธอยังเพียงเครื่องมือสังคมสำหรับแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ
พวกเธอยินดีให้บุตรแก่คนบ้าโดยทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ดักมาร์กถูกตัดสินในขั้นต้นในข้อฆาตกรรมเด็กทารก 9 ศพ ( เธอสารภาพอีก 16 แต่ไม่มีหลักฐานยีนยัน) ซึ่งตอนแรกโทษ
ของเธอประหารชีวิต เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงสามคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในประเทศเดนมาร์กในศตวรรษที่ 20
แม้ว่าสุดท้ายศาลได้ลดโทษเธอเหลือจำคุกตลอดชีวิตแทน
ดักมาร์กเสียชีวิตในคุกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1929 สิ่งที่เธอเหลือทิ้งไว้ก็คือมรกดให้สังคมได้ตระหนักถึงกฎหมายการควบคุมดูแลเด็กทารกนอกสมรส และธุรกิจเลี้ยงดูเด็กให้มีความรับผิดชอบและเข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำสองในอนาคตข้างหน้า