รีวิวหนัง Guardians of the Galaxy Vol.2 + 10 เหตุผลที่รู้สึกประทับใจในหนังชุดนี้ (มีสปอยส์บางส่วน)

รีวิวหนัง Guardians of the Galaxy Vol.2

โอยยย ตายๆๆๆ กะมาดูเอาขำๆ แต่ไม่นึกว่าหนังจะดีขนาดนี้ นี่ถือว่าท๊อปฟอร์มเลยนะ สำหรับเรา นี่คือ One of the best ของ Marvel เลยอ่ะ เฮ่ยยย!!
ไม่เชื่อหรอ?
จะบอกว่า มันดีงาม ดีมากๆ ฮามาก สนุกมาก ตอนจบน้ำตาจะไหล คือเป็นหนังอวกาศที่มีสีสันและลงตัวที่โคตรประทับใจ ขอยกคุณความดีให้ เจมส์ กัน เควิน ไฟกี้ และทีมงาน นักแสดงทุกคน พวกนายเยี่ยมมาก การ์เดี้ยน!! I am Groot ด้วย You're the best!!
แนะนำให้จัดแบบ Imax สามมิติครับ ภาพบางฉากทะลุขอบจอมาเลย งดงามมากๆครับ
ติดตามรีวิวฉบับเต็มได้ในคลิปนี้

และนี่คือ 10 ข้อที่ผมประทับใจในหนังชุดนี้ และอยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ (อาจมีสปอยส์บางส่วน)

1. เรื่องราวของคนปากไม่ตรงกับใจรวมตัวกัน
จุดหนึ่งที่หนัง Guardians of the Galaxy มีเสน่ห์มาตั้งแต่ภาคแรกแล้วก็คือ มันคือการรวมเอาตัวละครที่มีปากเสียงและไม่ชอบพอกัน ต้องมาเข้าร่วมทีมผจญภัยออกภารกิจด้วยกัน จนได้พบกับคำตอบที่แท้จริงว่า
จริงๆแล้ว พวกเขาก็คือ “ครอบครัว” และเป็นส่วนที่เติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายของกันและกัน
และในหนังภาคนี้พวกเขาจะกลับมาแน่นแฟ้นมากยิ่งกว่าเดิม รวมถึงมีสมาชิกใหม่เพิ่มเติมมาสมทบทีม และแน่นอนว่ายังคงคอนเซป “ปากไม่ตรงกับใจ” อยู่เหมือนเดิม
การดูหนังภาคนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า “บางครั้ง คนที่ปากหมา แต่จริงใจ ยังน่าคบมากกว่าคนที่ดูภายนอกแล้วจริงใจ แต่แก่นแท้ของจิตใจเลวร้ายยิ่งกว่าจะเอาชีวิตสัตว์มาเปรียบเปรย”

2. อย่าแสดงความรักในวันที่สายเกินไป
ภาคนี้เราจะได้เห็นความดราม่าของตัวเรื่อง ตัวละคร และได้เห็นว่า บางครั้ง
คนที่อยู่กับเราทุกครั้งในยามที่เราเจอปัญหาและความยากลำบาก อาจเป็นคนที่เรามองข้าม
และเป็นคนที่รักเราที่สุดก็ได้ ดังนั้น อย่าลืมที่จะกลับไปบอกรักเขา ขอบคุณเขาบ้าง ก่อนที่จะสายเกินกว่าที่จะได้ทำ

3. อย่าดูคนแต่เปลือกนอก
เพราะแม้แต่ “เบบี้ กรู๊ท” ถึงตัวจะเล็กจิ๋วแค่ไหน แต่ความสามารถเขาก็ใช่ว่าเล็กจิ๋วแบบขนาดตัว
เราจะเห็นในหนังว่าหลายสถานการณ์ก็มีเจ้านี่แหละ ที่มาคอยช่วยให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปได้ แม้จะมีการสร้างปัญหาไว้ให้บ้างก็ตาม ชีวิตคนเราก็แบบนี้ บางครั้ง เจ้าตัวเล็กที่ไม่น่ามีบทบาทอะไรได้ อาจกลายเป็นพริกขี้หนูของแก๊งได้ เมื่อถึงวันที่เขาต้องแสดงบทบาท ดังนั้นอย่าดูถูกคน อย่ามองแต่เปลือกนอก แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่พูดว่า I am Groot ก็ตาม



4. ความเด็ดขาดเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมี
ฉากที่ผมสะเทือนใจมากๆอีกฉากในเรื่อง น่าจะเป็นฉากที่ “ร๊อคเก็ต” เจ้าแรคคูน จำเป็นต้องเอาปืนยิงใส่นางเอก กาโมร่า ที่จะออกไปช่วยคนที่ยังอยู่ข้างนอก และตัดสินใจสั่งยานบินขึ้นหนีออกไปจากดวงดาวทั้งที่เพื่อนร่วมทีมยังขึ้นยานไม่ครบ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “วันนี้ขอเสียเพื่อนเพียงแค่คนเดียว”
ผมว่านี่คือความจริงของคนเรา ที่แม้จะอยู่ในหนังแฟนตาซี ไซไฟ แต่แน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เวลาเผชิญปัญหา มันอาจเจอตออะไรบางอย่างที่อันตราย อาทิเช่น บริษัทกำลังจะล้มละลาย คนที่เป็นหัวหน้าต้องกล้าตัดสินใจ ตัดส่วนที่เสียทิ้ง ตัดความเป็นไปไม่ได้ทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตของคนส่วนใหญ่เอาไว้ แม้ว่าการทำเช่นนี้ อาจถูกค่อนแคะว่าทิ้งเพื่อน หรือเห็นแก่ตัว แต่ถ้าคนเป็นผู้นำไม่ตัดสินใจ ในช่วงเวลาที่ฉุกเฉินอาจทำให้ลูกเรือตายได้ยกลำ ดังนั้น “ความเด็ดขาด” คือสิ่งที่ผู้นำต้องมี แม้ว่าบางครั้ง เขาต้องทำไปด้วยความที่ไม่เต็มใจเลยก็ตาม

5. การรักษาสัจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การรักษาในถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
ภาคนี้ ยอนดู น่าจะเป็นตัวละครโปรดของใครหลายๆคน แต่แน่นอนว่าเขามีเหตุที่ทำให้ต้องแตกคอกับแก๊งสมาชิก ราเวนส์เจอร์ เนื่องด้วยที่ว่าเขาฝ่าฝืนกฎไปรับตัวเด็กเพื่อไปส่งให้อีโก้ แต่กลับเก็บไว้เลี้ยงเสียเอง โดยที่เขามีเหตุผลท่มากพอ แม้ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ เขาจะโดนขับไล่ ผลักไส แต่ถ้าสิ่งที่เขาทำ มันคือความถูกต้อง ความดีงามจะปรากฏขึ้นในวันหนึ่ง และมันจะกลายเป็นตำนานที่น่าจดจำ เหมือนกับในฉากท้ายเรื่องของภาคนี้ ที่น่าจะสร้างความตราตรึงใจให้กับแฟนๆหนังมาร์เวลหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย ที่ได้รู้ความจริงทั้งหมดของสิ่งที่ตัวละครนี้ทำไป ซึ่งต้องใช้ความ “เสียสละ” อย่างแรงกล้า ไม่แพ้ตัวละครอย่าง เซอเวอรัส สเนป เลย

6. เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว ยังคงเป็นสำนวนที่ใช้ได้อยู่จริง
กับอีแค่การ ขโมยแบตฯ มันจะกลายเป้นสงครามได้ยังไง!?
มันเกิดขึ้นได้แน่ ถ้าว่าเราทำอะไรตุกติก คิดว่าอะไรเล็กๆน้อยๆไม่น่าเป็นไร
สุดท้าย ตัวเองนี่แหละที่ต้องได้รับผลของการกระทำ หนำซ้ำ บางทีมันจะซวยไปถึงคนรอบข้างเอาด้วย
ดังนั้น ถ้าเจออะไรที่เรารู้ว่ามันจะเป็นตอ เป็นประเด็น เป็นดราม่า ก็พยายามหลีกเลี่ยงเข้าไว้
เพราะการทำอะไรแบบมักง่าย ไม่ทันคิด
บางครั้งรู้ตัวอีกทีมันก็เป็นการ “เด็ดดอกไม้ดอกเดียว ที่สะเทือนไปถึงทั้งดวงดาวไปแล้ว”

7. ความรักไม่ต้องการแข่งขัน ไม่ต้องการแพ้ชนะ แต่ต้องการเพียงความเข้าใจ
เนบิวล่า กับ กาโมร่า สองพี่น้องลูกเลี้ยงธานอส จากผู้ที่เคยแข่งขันและเป็นศัตรูกันมาตลอดชีวิต
ถึงจุดหนึ่ง มันก็น่าตั้งคำถามว่า ถ้าจะต้องแข่ง ต้องเปรียบเทียบกันไปตลอด มันจะมีใครไหมที่มีความสุข
หรือจะดีกว่าไหม ถ้าแต่ละคน เริ่มลดทิฐิตัวเองมาคุยกัน และปรับจูน หาความรักที่เชื่อมโลกระหว่างกัน
หากลับมาให้เจอ

8. ในรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อาจเต็มไปด้วยความเศร้าที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้
ไม่มีใครปิดบังความรู้สึกตัวเองได้มิดขนาดนั้นหรอก เราทุกคนล้วนแต่ต้องการที่ระบายทั้งสิ้น
และโชคดีที่หนังมีตัวละครอย่าง แมนทิส ที่มาคอยทำให้ แดร๊กซ์ ผู้ซึ่งเคยสูญเสียครอบครัว ได้รู้สึกดีขึ้น
แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราว ชั่วขณะก็ตาม
เพราะบางครั้ง ในอวกาศที่อ้างว้าง เราก็แค่ต้องการเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจเราได้เพียงสักคน
และสิ่งนี้ ตัวละครอย่างแมนทิสก็น่าที่จะกำลังตามหามาตลอดชีวิตเช่นกัน
เพราะเธอเองก็โตมาคนเดียว ในดวงดาวที่สุดแสนจะเดียวดาย
ทั้งแดร๊กซ์ ทั้งแมนทิส ต่างหัวเราะง่าย เฮฮาได้ แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วทั้งสอง
อาจเศร้า และเหงา ไม่ต่างกัน

9. ใจของเรา ถ้านิ่งพอ จะไม่มีใครควบคุมเราได้
ทุกครั้งเวลาเกิดวิกฤติ มันจะมีหลายอย่างทำให้เราลนลาน ประสาท แทบจะหัวระเบิด
แต่ท้ายที่สุด แม้ว่าร่างกายเองจะถูกจองจำ แต่จิตใจของเรา หากใจเรายังเป็นนาย
กายก็ยังเป็นบ่าวอยู่ดี
หากใจเรานิ่งสงบพอ สติจะเกิด สมาธิจะมา และจะทำให้รู้ว่า ควรจะแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไร

10. จงเป็นตัวของเราเอง
เอาจริงๆข้อนี้มันรู้สึกเอาเอง เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ มันไม่พยายามเป็น Star Trek หรือ Star Wars แบบวอนนาบี แต่มันเป็นตัวเอง ด้วยการคงคอนเซปเป็นหนังอวกาศ สไตล์คันทรี่ ระคนเพลงยุค80 และใส่แฟนตาซีจ๋าแบบมาร์เวลไปเลย หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นว่า ถ้าเราเป็นตัวของเราเอง เราจะมีความสุขไปกับมัน เราจะกล้าคิด กล้าทำ กล้าเต้น กล้าฝัน เหมือนที่หนังเรื่องนี้ ตัวละครเรื่องนี้ เพลงเรื่องนี้ การดำเนินเรื่องในแบบนี้ และมันก็สำเร็จอย่างยิ่งยวดในแนวทางของมัน

ถึงสตาร์ลอร์ดและเหล่าแก๊งการ์เดี้ยนจะดูเกรียน แสบ ซ่า
แต่ด้วยความเป็นตัวของตัวเองนี่แหละ ที่ผมบอกได้เต็มปากว่า
หนังอวกาศบ้าๆเรื่องนี้ ก็มีดีไม่แพ้ใครๆ
นี่แหละที่เราๆที่เป็นแฟนหนังไม่มากก็น้อย น่าจะรู้สึกคล้ายๆผมว่า “มันเป็นความนัยที่รู้กัน”