เมื่อโรคไบโพลาร์เริ่มทำงานตอนอายุ 23.....แล้วชีวิตผมก็เปลี่ยนไป!!!
ปัจจุบันมีคนป่วยด้วยโรคไบโพล่าร์ หรือ โรคอารมณ์ 2 ขั้วมากขึ้น คือมีบุคลิก 2 ขั้ว ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว อาการของโรคนี้คือ มีด้านร่างเริงสุดขีด มีความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กับด้านที่ เข้าโหมดโรคซึมเศร้า ท้อแท้ หมดหวัง ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย.. เป็นอาการที่ผิดปกติทางด้านอารมณ์ จิตใจ และเคมีทางสมอง หากได้รับการรักษามีโอกาสหายเป็นปกติ
เรื่องราวที่จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของสมาชิกเวบไซต์พัทิปดอทคอม ที่ได้ออกมาเเชร์เรื่องราวที่ตนเองกำลังเผชิญกับอาการไพโบล่าร์ โดยเล่าเรื่องราวดังนี้..
ก่อนที่ผมจะรู้ว่าตัวเองได้เป็นโรคนี้ก็ตอนอายุ 23 (ตอนนี้ผม 25 แล้ว) แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคนี้ได้อยู่ในตัวผมมาต้งแต่เด็ก เพียงแค่อาการไม่ได้รุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเท่าไหร่ อาการของโรคนี้คือ มีบุคลิก 2 ขั้ว
ด้านนึงคือร่าเริงและมีพลังเยอะมาก สามารถทำอะไรต่อเนื่องโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย และในอีกขั้วนึงคือเราจะหมดแรง รู้สึกเศร้าและหดหู่กับชีวิต ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ซึ่งรายละเอียดของอาการมีมากกว่านี้นะครับ
อันที่จริงแล้วผมสังเกตุตัวเองตั้งแต่เด็ก และครั้งแรกที่จำความได้คือตอนชั้น ป.5 ทีอยู่ หลายคืนที่ผมชอบนอนร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล อยู่ๆก็น้ำตาไหล ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เลยเพราะอะไร (ผมเป็นเด็กหอครับ) แต่อาการแบบนี้ก็เป็นๆหายๆ ซึ่งในวัยเด็กผมมีเพื่อนสนิทกันมากครับ ตัวเราแทบจะติดกันตลอดเวลา เลยทำให้ผมค่อนข้างจะมีอารมณ์ร่าเริง สนุกซะมากกว่า และชีวิตก็เป็นแบบนี้เรื่อยมากครับ ถึงแม้จะมีอาการเศร้าบ้าง แต่ก็ไม่มากอะไร
จนกระทั่งผมเรียนจบมหาวิทยาลัย และกลับไปอยู่ที่บ้าน ทำงานให้กับที่บ้าน และดูแลงานให้กับธุรกิจในตระกูลครับ อ่อ... ผมลืมบอกไป ตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 3และ ปี4 ผมก็ทะเลาะกับป๊า ปีละครั้ง และทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน มันรุนแรงมากครับ เพราะโดยนิสัยส่วนตัวผมแล้ว ผมเป็นคนที่คอยตามใจคนรอบตัว
ส่วนป๊าผมเป็นคนชอบเผด็จการเอามากๆ ทุกคนในบ้านต้องทำตามคำสั่ง เถียงไม่ได้ แม้เราจะมีเหตุที่ดีและถูกต้องกว่า แต่เมื่อเจออารมณ์โมโหของป๊าแล้ว เราก็ต้องยอมครับ แต่ที่เราทะเลาะกันนั่นคือ การที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วโดนด่าขั้นรุนแรง เหมือนเราฆ่าคนมาคือผมรับไม่ได้เพราะมันมากไป
หลังจากที่ผมกลับมาทำงานให้กับที่บ้าน และดูแลงานบริษัทให้ลุงด้วย มีอยู่ช่วงนึง ผมแอบชอบใครบางคน ซึ่งเราก็คุยกันบ่อยจนผมไม่มีสมาธิทำงานเลย ในช่วงอารมณ์นั้นคือ ผมนอนเพียงวันละ 2-3 ชม. ต่อวัน และตื่นไปทำงาน ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย และในตอนนั้นผมยอมรับครับ ผมทำผิดพลาด และลุงผมก็เรียกไปเทศน์ทุกวัน วันละ 2-3 ขั่วโมง ผมเครียดมากครับ โดนบ่นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่จบ ไม่สิ้น และบางวันผมก็ร้องได้ก่อนออกไปทำงานทุกครั้ง
ผมก็เข้าใจครับ ลุงหวังดี อยากถ่ายทอดวิชา ความรู้ให้ แต่พี่ชายผมกลับไม่เคยโดนบ่นอะไรเลย ทั้งๆที่อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรและยังได้รับการชื่นชมอยู่เสมอ งานทุกอย่างผมต้องทำเป็นหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี บัญชี ระบบยาม ระบบซ่อมบำรุง ทุกๆอย่าง ทั้งที่ทำงาน และครอบครัว
ปกติแม่ไปหาหมอ ผมก็เป็นคนดูแล พาไป น้องชาย หรือน้องสาว ผมพาไปสมัครเรียน หาที่พักให้ โดยที่พี่ชายผมไม่เคยช่วยอะไรเลย แต่ผมไม่โทษพี่เขาเพราะผมก็คิดว่าถ้าเราไม่ดูแลแล้วใครจะทำ (ส่วน ป๊ากะแม่ก็ไม่ได้สนใจ)
แต่การที่ผมรับผิดชอบหลายๆอย่าง นั่นทำให้ป๊าเชื่อใจเรามากกว่าพี่ชาย เขาจึงตามใจผมมากกว่า ในขณะที่พี่ชายผม อิจฉา คอยเอาแต่เรื่อง ผมเป็นลูกรัก ป๊า กับแม่ ให้กับลุงๆ น้าๆ ทั้งฝั่งแม่และป๊า ทำให้พวกเขาสงสารพี่ชาย และสนับสนุนทุกสิ่งอย่างให้กับพี่ แต่กับผมไม่มีใครเหลียวแลและสนใจ สิ่งที่ผมดูแล รับผิดชอบหลายๆเรื่องภายในบ้านเพราะผมมองเห็นถึงส่วนรวม ทำเพื่อส่วนรวม ในขณะที่พี่ชายชอบเอาแต่ใช้คนอื่น และไม่ค่อยทำอะไรด้วยตัวเอง
ผมทำงานมาจนกระทั่ง กลางปีตอนอายุ 23 ปี ผมดันทะเลาะกับป๊าอีกครั้งนึง ด้วยสาเหตุที่ป๊า กำลังหาเรื่องทำเลาะกับแม่ ซึ่งจะต้องมีลงไม้ลงมือกัน ผมเลือกที่จะเข้าข้างแม่ เพราะป๊าไม่มีเหตุผล และนั่นเลยทำให้ป๊าเขาโกรธผมมาก เพราะเขาไว้ใจผมที่สุด แต่ไม่เข้าข้างเขา ผมเลือกความยุติธรรมเสมอ การทะเลาะครั้งนี้รุนแรงที่สุด เขาโมโหจนเอาอาวุธออกมายิง แต่ไม่โดนเพราะพี่ชายห้ามเอาไว้
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย อาการที่ผมเศร้าก็จะเป็นหนักมาก จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ทุกๆวันมันคือการทรมานกับการเริ่มวันใหม่ และบ่อยครั้งที่ผมทะเลาะกับพี่ชาย เขาก็จะฟ้องลุงและน้าทุกคน ทำให้ผมดูเป็นเด็กไม่ดี ผมคงทำอะไรไม่ได้ เพราะเรา 2 คน คนละขั้วกันจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ ผมได้ขออกมาเรียนต่อ ป.โท แต่อีกไม่นานก็จะจบแล้ว ผมไม่กล้าที่เจอเผชิญหน้ากับใคร ญาติๆทุกคน ผมทั้งกลัว และระแวงกับการใช้ชีวิตมาก
ผมได้ปรึกษากับเฮีย (ลูกพี่ลูกน้อง) เขาแนะนำให้ผมไปหาหมอ ที่ ร.พ. สมิตติเวช หมอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่จ่ายยา มาตัวเดียว และค่ารักษาก็แพงมากๆ ผมจึงไปได้เพียงแค่ 2 ครั้ง และหยุดไปหา เรื่องอาการนี้ผมไม่บอกใครในครอบครัว นอกจากเฮียผม
ตอนนี้คือผมก็เรียนใกล้จบ ป.โท และป๊าก็จะให้กลับไปทำงานที่บ้าน ป๊าบ่นเสมอ ห้ามทำงานเป็นลูกจ้าง แต่ด้วยประสบการณ์การทำงานผมน้อย ผมไม่สามารถเริ่มทำธุรกิจกับที่บ้านได้ โดยเฉพาะทำกับพี่ชาย เพราะเคยทำงานร่วมกัน เราทะเลาะกันตลอด และผมก็คิดว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตดี ผมคิดไม่ตก นอนไม่หลับมาเดือนกว่าๆแล้ว ........ผมอยากจะไปในที่ไม่มีคนรู้จัก อยากเริ่มต้นชีวิตที่มันเรียบง่าย ธรรมดาๆ
ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงอาการของซึมเศร้า และโดนป๊าบังคับให้กลับบ้าน แต่งานก็ไม่มีอะไรให้ทำเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงทำที่บ้านเราก็ไม่มีเงินเก็บเป็นของตัวเอง ป๊าเก็บหมด และผทก็ท้อแท้ ไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไรดี
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ถ้าใครมีคำแนะนำดีๆก็ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ
ถ้าส่วนไหนที่ผมพิมพ์พลาดก็ขอ อภัย ด้วยครับ
https://pantip.com/topic/36266373