ละจากธรรมกาย มาดูธรรมทำง่ายๆ คลานเครียดกันครับ
ละจากธรรมกาย มาดูธรรมทำง่ายๆ คลานเครียดกันครับ
ก. อิทธิบาท ๔
- ทำให้เป็นที่สบายกายและใจ เรียบง่ายๆเบาๆสบาย ไม่ตึงไม่หย่อน
- ทำปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ยินดีที่ได้ทำพอใจที่ได้ทำ รู้เพียงว่าทำแล้วจิตเรามีกำลังแผ่เมตตาให้ท่านเหล่านั้นพร้อมสัตว์ทั้งปวง ขันธ์ ๕ ทั้งปวง จะหยาบหรือละเอียด, เล็กหรือใหญ่, สั้นหรือยาวก็ตาม จะสัตว์ 2 เท้า, 4 เท้า หรือมากเท้า สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์บก สัตว์น้ำ ในอาการ ในดิน ในที่ทั้งปวง ทุกผู้ ทุกรูป ทุกนาม ทุกดวงจิต คือ มนะ, มโนทั้งปวง ได้สำเร็จประโยชน์สุข สวัสดี ไม่มี้เวรภัยเบียดเบียนทั้งภายในและภายนอกตน (ทำศรัทธาคู่ปัญญา)
- ยินดีในธรรม แต่ไม่ปารถนากระสันจะเอาผลในตอนนั้น ตอนนี้ เดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้ ให้ทำเพียงสะสมเหตุ เขาทำสะสมเป็นเดือน เป็นปี เป็น 10 ปี เป็นชาติๆ อสงไขยไม่ใช่แค่เพิ่งทำแล้วได้ ทำความพอใจให้เป็นที่สบายกายใจที่ได้ทำสะสมเหตุ มีความเพียรเจริญอยู่ทำอยู่เสมอๆ ทำให้เนืองๆ คือทำแบบสบายๆไม่ให้ขาดแต่ไม่หวังเอาผลยินดีที่ได้ทำสะสมบารมีตนพอ เมื่อมีความเพียร ๔ ที่เรียกว่า สัมมัปปธาน ๔ เพียนระวัง เพียรขจัด เพียรทำ เพียรประครองรักษา มีสังวรปธานเป็นต้นอยู่นี้จะเป็นเหตุให้สติเกิดมีขึ้นมากเรื่อยๆแก่เราจน มีกำลังมาก เป็นสติกำลังควบคู่กับความเพียรไม่ขาด (เพียรคู่กับสติ)
- มีสติสัมปะชัญญะรู้ใจรู้กายเนืองๆ เราพร่องหย่อนจาดสิ่งใดให้เติมสิ่งนั้น สิ่งใดที่ดีแล้วให้คงไว้ สิ่งใดสุดโต่งหรือมากเกินให้ลดลง
- ทำความปล่อยวางกายใจ เพราะจิต(มโน)เรานี้ท่องเทียวในภพภูมิต่างๆมานานนับอสงไขย อาศัยสังขารกรรม ทรงขันธ์ ๕ไว้ เกิดเป็นคนบ้าง สัตว์บ้าง สัตว์นรกบ้าง เทวดาบ้าง มารบ้าง มหาเทพบ้าง วนเวียนท่องเที่ยวจรไปมากมายไปสิ้นสุด ถูกอวิชชาเข้าครอบงำสะสมทับถมกิเลสลงใจใจมานานนับอสงไขยให้ยึดว่าเป็นตัวตน จับต้องรับรู้ได้เพียงสมมติ ไม่ยอมรับความพรัดพากไม่เที่ยง สุขที่สมหวังทุกข์เพราะผิดหวังเจอสิ่งไม่สมปารถนา ทุกข์เพราะเจอสิ่งอันไม่เป็นที่จำเริญใจ เมื่อกายนี้ก้อตั้งอยู่ได้ไม่นานบังคับไม่ได้ หาความเป็นเราในอาการทั้ง 32 ประการไม่ได้ เราไม่มีในนั้น เราไม่ใช่สิ่งนั้น นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา สิ่งนั้นไม่มีในเรา
- น้อมใจไปดูว่ากายที่เราเอาใจเข้ายึดครองอยู่นี้ คือ เมื่อมโนคือจิตที่ท่องเที่ยวไปซึ่งเกิดแต่วิบากกรรม(ผลกรรมที่ทำในกาลก่อน) มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตามอาศัย ต้องเป็นไปตามวิบากกรรม เข้าปฏิสนธิในสังขารกรรม สังขารธรรม วิญญาณขันธ์ของกุมารหรือกุมาริกาก็แล่นเข้ายึดธาตุ ๔ มโนก็ยึดเอาวิญญาณขันธ์คือจิตที่รู้แต่สมมติทางมโนทวารที่ส่งธัมมารมณ์อันเป็นสมมติมาให้มโนนั้นรู้อีกรอบ
เมื่อจิตเรานี้จรออกไปเป็นอนัตตาต่อกายนี้ คือ เราไม่มีตัวตนต่อกายนี้แล้ว หากจิตเราไม่มีในกายนี้แล้ว กายอันเป็นที่ประชุมธาตุประชุมโรคนี้ก็เหมือนดั่งกองซากเนื้อหนัง ซากศพ บิดหับงอทับถมไม่มีรูปไม่มีร่างเป็นกองอสุภะ เหมือนดั่งซากซพทั่วไปหรือในสนามรบ เป็นกองธาตุเท่านั้นที่เน่าเปื่อยผุพังย่อยสลายไปในที่สุด ดังนั้นไม่ควรยึดเอากายนี้เป็นตัวตน สักแต่เพียงอาศัยไว้บ่มบารมี 10 ทัศน์ของตนเท่านั้น
- ทำใจให้ผ่องใสดุจดวงประทีป น้อมไปภายในตนไม่ส่งจิตออกนอก เห็นใจในภายในผ่องใสดูจดวงประทีป แต่อาศัยสมมติกิเลสที่จรมาทำให้มัวหมอง จิตรู้สิ่งใดสิ่งนั้นล้วนลมมติทั้งหมด อย่ายึดสิ่งที่จิตรู้ ดังนี้ว่า..
1. ด้วยเห็นโทษ รู้ทุกข์ เกิดมีขึ้นเมื่อเราเสพย์ในสิ่งใด แล้วไม่เสพย์สิ่งใด
2. ด้วยเห็นคุณ จิตชื่นบานผ่องใสเย็นใจ เกิดมีขึ้นเมื่อเราเสพย์ในสิ่งใด แล้วไม่เสพย์สิ่งใด
3. ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลกไปย่อมหาประโยชน์สุขไรๆไม่ได้นอกจากทุกข์
4. ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งไรๆในโลกด้วยความไม่เอนเอียงอคติเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะไม่รู้เห็นตามจริง จึงไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ
ข. เมื่อทำสมาธิอบรมจิต
ประการที่ 2. ปักหลักปักตอรู้ลมหายใจไม่เอนไหลไปที่อื่นในจุดที่ลมผ่าน เช่น ปลายจมูก หน้าอก ท้องน้อย
ประการที่ 3. ให้หายใจเข้ายาวๆ ออกยาวๆ ตั้งจับเอาที่จุดลมผ่านทั้ง 3 จุดตามข้อ 2
ประการที่ 4. ให้หายใจเบาๆช้าๆเข้าออกยาวๆช้าๆเนิบๆ ตั้งจับเอาที่จุดลมผ่านทั้ง 3 จุดตามข้อ 2
ประการที่ 5. ให้ตามร่ลมไปที่จุดพักลมต่างๆที่ลมผ่าน เช่น ปลายจมูก หว่างคิ้ว กลางกระหม่อม โพรงกะโหลกศีรษะ ท้ายทอย ลำคอ หน้าอก ท้องน้อยเหนือสะดือ พัดออกไล่ลมย้อนตามจุดนั้นๆ
ประการที่ 6. มองดูไปที่เบื้องหน้าในขณะที่หลับตานั้น มองดูความว่างที่มืดๆตอนหลับตานั้นแหละ สำเหนียกรู้ว่านั่นแหละสิ่งที่เห็นที่เป็นไปในปัจจุบันแล้วรู้ลมเข้าลมออกไป
- หากยังไม่ได้ให้ทำแค่สงบนิ่งเหมือนตอนเด็กๆสงบนิ่งหน้าเสาธงพอ หรือ ทำความสงบนิ่งจากสิ่งทั้งปวงรับรู้แค่ความสงบคู่กายที่เสพย์ลมหายใจเข้าลมหายใจออก