ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อเล่น เอ๋ ค่ะ ชื่อในวงการต่างประเทศ พอลลี่ (Polly) – ชื่อนี้จริงๆมีที่มา เดี๋ยวเล่าในย่อหน้าถัดไป ปัจจุบันทำงานฝ่ายการตลาดที่ บริษัท เอกชนแห่งหนึ่ง แรงจูงใจในการตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศของเราในครั้งนี้อาจจะพูดได้ว่าเราเป็นพนักงานที่โชคดีมากๆคนหนึ่ง ที่ทางบริษัทมีข้อเสนอแนะให้ไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศโดยออกค่าใช้จ่ายในการเรียนให้ทั้งหมด
เมื่อมีข้อเสนอที่ดีๆเข้ามา เราก็ตัดสินใจทันทีว่าตกลงที่จะไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ เพื่อที่จะนำมาพัฒนาความก้าวหน้าในการทำงานที่ดีขึ้นต่อไป วันนี้เราอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ต่างประเทศที่ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตแบบนักเรียนถึง 5 เดือน มาดูกันว่าเราเจออะไร และได้เรียนรู้อะไรมาบ้างกับประสบการณ์ครั้งนี้
หลังจากที่ได้มีการตัดสินใจก็ได้เริ่มหาข้อมูลจาก Website ต่างๆหลายสถาบัน ใช้ระยะเวลาศึกษาและหาข้อมูลประเทศที่ต้องการจะไปเรียนประมาณ 1 เดือน ในการหาข้อมูลต่างๆ จนได้มาเจอสถาบันสอนภาษา Kaplan Intertnational จากที่เข้าไปศึกษาข้อมูลต่างๆทั้งหมดใน Website และเห็นว่าโรงเรียนแห่งนี้ข้อมูลแน่นและน่าเชื่อถือดี
เราจึงทำการติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลไปทาง E-mail สอบถามข้อมูลค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่ต้องใช้ตั้งแต่เริ่มเรียนจนจบคอร์สเรียน โดยติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ หลังจากที่ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เราจึงตัดสินใจเลือกคอร์สเรียนที่เมืองแครนส์ ประเทศออสเตรเลีย ระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 20 Weeks (5เดือน) สาเหตุที่เลือกเมืองแครนส์ เพราะเราคิดว่าที่แครนส์มีคนไทยน้อยมากซึ่งจะทำให้เราสามารถพูดและเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็ว อีกทั้งแครนส์เป็นเมืองที่ทะเลสวย
เมื่อตัดสินใจเลือกคอร์ส และสถานที่ที่จะไปเรียนเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนในการยื่นขอเอกสารวีซ่าซึ่งเจ้าหน้าที่จะคอยให้คำแนะนำ และช่วยเหลือในการเตรียมเอกสารเป็นอย่างดี และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ช่วยแปลเอกสารทั้งหมดของเราในการยื่นวีซ่าครั้งนี้ด้วย แต่อย่างว่านะคะทุกอย่างไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เหมือนจะโชคดีหรือโชคร้ายของเราก็ไม่รู้ เพราะช่วงที่เราต้องการจะเดินทางเป็นช่วงที่ประเทศออสเตรเลีย มีการปรับเปลี่ยนการยื่นวีซ่านักเรียน ซึ่งมีระยะเวลาที่นานกว่าเดิม เราใช้เวลาในการรอวีซ่าประมาณ 1 เดือน ซึ่งก่อนวีซ่าจะออกก็แอบลุ้นว่า ขอให้ไม่ต้องไปตรวจสุขภาพ เพราะจะยิ่งทำให้ล่าช้าเข้าไปอีก แต่ในที่สุด ทางสถานทูตออสเตรเลียส่ง E-mail มาแจ้งว่า “วีซ่าผ่านเรียบร้อยแล้ว โดยที่ไม่ต้องทำการตรวจสุขภาพ” เย้ๆๆๆๆ
และแล้ว.. ก็ถึงวันที่ต้องเดินทาง โดยกำหนดการเดินทางของเราคือจะไปถึงแครนส์ก่อนเริ่มเรียนประมาณ 3 วัน แต่จะมีน้องที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน(ขออนุญาตเรียกน้องว่า “น้องแม้ว”) ไปอยู่เป็นเพื่อนก่อนที่จะเข้าอยู่กับ Host family น้องแม้วมีความรู้และพูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี(ถ้าเทียบกับเรา55555)
ซึ่งดีต่อใจเรามากค่ะ ที่น้องไปเป็นเพื่อน เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันศุกร์ที่ 22 กรกฏาคม 2559 ช่วงเย็น ก่อนเครื่องออกก็รู้สึกหวิวๆ และคิดนิดนึงว่า โอ้นี่เราจะไปแล้วจริงๆเหรอ ชีวิต 5 เดือนในต่างแดน
ซึ่ง Flight ที่ไปจะต้องเปลี่ยนเครื่องที่บริสเบน และซิดนี่ย์ กว่าจะถึงแครนส์ต้องนั่งเครื่องกันหลับหลายตื่นเลยทีเดียว และแล้วก็ถึงสนามบินแครนส์ ครั้งแรกที่ไปถึงก็มีเรื่องที่ประทับใจเกิดขึ้นเลย เพราะเราผ่านด่านตรวจอย่างฉลุยโดยที่ไม่โดนถามอะไรเลย ซึ่งก่อนไปก็ตื่นเต้น และกังวลใจมากว่าจะโดนถามอะไรบ้าง(เพราะเราก็เก่งภาษาอังฤษซะด้วยสิ จะตอบได้ไหมเนี่ย55555555) คิดมาตลอดแต่โชคดีมากๆ ที่ไม่โดนสอบถามข้อมูลใดๆเลย ผ่านฉลุยค่ะ (Lucky girl)
หลังจากออกจากสนามบินเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสองคนก็เดินทางสู่ที่พักที่เราได้ทำการจองไว้ หลังจากเข้าที่พัก และทำธุระอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประมาณช่วงบ่ายเราก็เริ่มสำรวจเมืองกันเลย สถานที่แรกคือตามหาโรงเรียนก่อนเลยค่ะ โรงเรียนคือจุดหมายแรกของเรา และแล้วเราก็เจอจุดหมายแรกค่ะ โชคดีมากโรงเรียนอยู่ใกล้กับ Apartment ที่เราจองพอดี จุดหมายที่ 2 ของเราคือ Host family
จากที่เราได้รับข้อมูลของ Host family ก่อนวันที่จะเดินทางมาถึงแครนส์เพียงแค่ 1 วัน ดังนั้นเราจึงลุ้นมากว่า Host family ของเราจะเป็นอย่างไรน๊า(กังวลนิดหน่อยเพราะต้องอยู่ถึง 5 เดือน) ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เก่งมากเสียด้วยสิ ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าไปยัง Host family เราได้ส่ง E-mail แจ้งให้ทราบก่อนว่าเรามาถึงแครนส์เรียบร้อยแล้ว และวันรุ่งขึ้นเราก็ได้เข้าไปพบกับ Host family
ซึ่งเราประทับใจมากตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับ Host family บอกได้เลยว่าน่ารักมาก และหลังจากเข้าพบปะแล้ว เราก็สำรวจเส้นทางสำหรับการเดินทางจาก Host family มาโรงเรียน ซึ่งถือว่าสะดวกมาก เพราะเราสามารถเดินเท้าไปที่โรงเรียนได้เลย ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือจะนั่งรถบัสก็ได้ ใช้เวลาเพียง 5 นาที แต่เราเลือกทางเลือกที่ 2 นั่นก็คือ นั่งรถบัสค่ะ เพราะอากาศที่แครนส์ไม่ค่อยเป็นใจให้เราได้เดินสักเท่าไหร่(บอกเลยร้อนได้ใจมาก)
และแล้วก็ถึงวันที่เราต้องย้ายของเข้าไปอยู่กับ Host family และก่อนอื่นขอแนะนำก่อนนะคะว่า Host family จะมี Jena , Tim และน้องแมวที่น่ารัก 2 ชีวิตชื่อ Big cat กับ Little Cat เป็นแมวที่น่ารักมาก Jena เป็นคนรักสัตว์ ชอบทำสวน ชอบทำอาหาร ที่สำคัญคือชอบทำอาหารไทย และชอบอาหารรสจัดเช่นเดียวกับเรา
Jena มีงานประจำคือ Camping shop ส่วน Tim ทำงานเป็น Fisherman ในพิพิธภัณฑ์ประมง Tim มีความสามารถในการจับฉลามได้อย่างเชี่ยวชาญ Jena จะรับเฉพาะนักเรียนที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น และในการรับก็จะรับระยะสั้นแค่ประมาณ 2 สัปดาห์หรือนานที่สุดคือ 1 เดือน ซึ่งเราป็นคนแรกที่นานที่สุด(5 เดือน) และเราเป็นคนไทยคนแรกที่ Jena รับ ซึ่ง Jena บอกกับเราว่าที่เค้าตัดสินใจรับ เพราะเราเป็นคนไทย เค้ารักคนไทย ทำให้เรารู้สึกภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย
เราได้เริ่มพูดภาษาอังกฤษตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าบ้าน วันแรกถามว่าฟังและคุยกันรู้เรื่องไหม ตอบได้เลยค่ะว่าไม่ สำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษอย่างเรา พูดและฟังกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างค่ะ(งานภาษามือก็มา) แต่โชคดีค่ะที่เรามีน้องแม้วไปด้วย น้องแม้วจะเป็นผู้ช่วยในการสื่อสารในช่วงแรกที่อยู่ที่นั่น แต่หลังจาก 1 สัปดาห์ไปแล้ว
เราต้องพึ่งตัวเองแล้วสินะ(ตอนนั้นคิดว่า จะรอดไหมเนี่ย555555) ระยะเวลา 5 เดือนที่อยู่กับ Host family ต้องบอกเลยว่า Jena และ Tim ดูแลเราดีมากๆ ในทุกครั้งที่ Jena มีเวลาว่างหรือช่วงวันหยุด Jena ก็จะขับรถพาไปเที่ยว และดูสถานที่ต่างๆทั้งในเมืองและนอกเมือง
ทุกครั้งไม่ว่าจะไปไหน Jena ก็จะพาเราไปด้วยทุกครั้ง แม้แต่จะเป็น Party กับเพื่อนๆหรือครอบครัว Jena ก็จะเห็นเราเป็นหนึ่งในครอบครัวเค้าเช่นกัน และที่สำคัญ Jena จะช่วยสอนการพูดภาษาอังกฤษให้เราอีกด้วย
ในทุกๆวันเราจะช่วย Jena ทำอาหาร Jena happy มากที่มีคนช่วยทำอาหาร และเค้าจะรู้สึกดีมากๆทุกครั้ง ถ้าอาหารที่เค้าทำให้เรากิน เรากินจนเกลี้ยง5555555555 เราได้กิน Seafood และอาหารไทยเกือบทุกมื้อ
ซึ่งที่แครนส์อาหารเหล่านี้จะราคาแพงมาก แต่ Jena ตั้งใจทำให้กินในทุกๆมื้อ(เค้ามีความสุขที่ได้ทำ ส่วนเราก็มีความสุขที่ได้กิน5555555) และ Jena ชอบทำเค้กให้กิน เรียกได้ว่าเรามีของให้กินตลอดเวลา เค้าดูแลเราเกินที่จะบรรยายได้จริงๆค่ะ เราถือว่าโชคดีมากที่ระยะเวลา 5 เดือนได้อยู่กับครอบครัวของ Jena เค้าดูแล เอาใจใส่เราเป็นอย่างดี
จนเราคิดว่าเค้าเปรียบเสมือนแม่เลยทีเดียว จนมาถึงวันสุดท้ายที่เราต้องกลับเมืองไทยแล้ว Jena มาส่งที่สนามบิน มันเป็นวันที่เศร้ามาก เรากอดกันร้องไห้เลยทีเดียว เพราะเราอยู่ด้วยกันจนผูกพัน เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ Jena สัญญากับเราว่าอย่างไรก็ตามจะกลับมาหาเราที่เมืองไทยแน่นอน
และแล้ว..ก็ถึงเวลาที่เราจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เราต้องไปโรงเรียนแล้วจ้า วันแรกของการเรียน ในช่วงเช้าจะเป็นการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนและการเข้าเรียนในแต่ละวัน ช่วงบ่ายจะเป็นการสอบพื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อแยกตาม Level ต่างๆที่เหมาะกับตัวผู้เรียน ในการสอบจะทำการสอบกับคอมพิวเตอร์ โดยจะมีในเรื่องของ Grammar, Writing, Listening , Reading , Speaking และแล้วผลการสอบ ของเราก็ออกมาในระดับ Elementary
ซึ่งเราก็รู้สึกว่าค่อนเหมาะกับเราจ้า เริ่มเรียนในวันแรกเมื่อถึงห้องเรียน และเริ่มเข้าสู่บทเรียน ต้องปล่อยเบลอไปประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยจ้า5555555555 คิดในใจ “โอ้!!! คุณครูคะ พูดอะไรคะ ไม่รู้เรื่องเลยค่ะ”
จากนั้น..เจ้ากรรม คุณครูเรียกเราเป็นคนแรกของ Class เรียน เพราะเราดันเป็นชื่อแรก(ฮือๆๆๆๆ) เริ่มการแนะนำตัว เราก็แนะนำตัวบอกชื่อเราเองปกติแต่เพื่อนและครู ดั๊นนนเรียกชื่อเราไม่ได้ ทำยังไงดีเนี่ย ในเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น เราคิดในหัวเลยทันที “My name Polly” (55555555555ก็รู้สึกขำตัวเองเหมือนกันว่าคิดได้ยังไง)
ภายในห้องเรียนมีเราเป็นนักเรียนไทยเพียงคนเดียว จะเรียกได้ว่าทั้งโรงงเรียนเลยก็ว่าได้ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นญี่ปุ่น และเกาหลีไปเกือบครึ่งโรงเรียน บรรยากาศภายในช่วงสัปดาห์แรกเรารู้สึกเครียดกับการเรียนมาก เพราะพื้นฐานไม่ดี ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พูดก็แค่เอาตัวรอดได้(บางทีก็เหมือนจะไม่รอด)
แต่ครูและเพื่อนๆน่ารักมากค่ะ คอยช่วยเหลือตลอด หลังจาก 1 สัปดาห์ผ่านไป เราเริ่มปรับตัวได้มากขึ้น เริ่มฟังรู้เรื่องขึ้น พูดได้มากขึ้น อาจเป็นเพราะความโชคดีที่ในโรงเรียน และที่แครนส์นักเรียนไทยค่อนข้างน้อย ทำให้เราต้องพูดภาษาอังกฤษทุกวัน(เพื่อความอยู่รอด5555555)
และที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ และประทับใจมากอีกอย่างนึง คือในเดือนแรกที่เข้าไปเรียน โอ้วววววว!! เราได้ Student of Month ซึ่งเราไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าเราจะได้ ช่วงเวลาที่ Tom ซึ่งเป็นครูใหญ่ ของโรงเรียนเรียกชื่อเรา เราก็ยังงงๆ แต่ก็ดีใจมากเพราะคิดว่าเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเราทำได้นะ หลังจากเราได้ ก็ส่งให้ทางบริษัท และ Jena ดู
ซึ่งเค้าก็ดีใจมากที่เห็นเราได้ โดยปกติแล้วในทุกๆเดือนโรงเรียน จะมีการคัดเลือก Student of month ในแต่ละ Class โดยดูจากเรื่องของการเข้าเรียน พัฒนาการในการเรียนรู้ในห้องเรียน ในการสอนของที่นี่ไม่ได้เพียงแต่ว่าสอนในหนังสือเรียนเท่านั้น ยังมีการเรียนออนไลน์ ซึ่งเราเองก็ต้องกลับมาเรียนต่อที่บ้านในทุกวัน การเรียนนอกสถานที่ การเข้ากลุ่มพบปะเพื่อนใหม่ ให้ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆของนักเรียนแต่ละประเทศ ซึ่งก็ถือเป็นการฝึกใช้ภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว
การเรียนใน Class ทุกคนต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ก็มีบ้างที่เพื่อนๆส่วนมากที่เป็นญี่ปุ่นและเกาหลี จะชอบพูดภาษาของตัวเอง แต่เราเองฟังไม่เข้าใจ ก็จะพูดแบบขำๆตลอดว่า “I don’t understand speak English only” แล้วทุกคนก็หัวเราะและตอบเรากลับตลอด “Sorry Polly 55555555” เพื่อนๆทุกคนใน Class เรียน น่ารักมาก
แต่ละคนช่วยเหลือกันเวลาเรียน เวลาที่ไม่เข้าใจ หรือฟังครูไม่รู้เรื่องก็จะช่วยอธิบายซึ่งกันและกัน ครูที่สอนก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เข้าใจครูเค้าจะอธิบายให้เราฟังทันที อุปกรณ์การเรียนการสอนก็ค่อนข้างที่จะทันสมัย มีกระดานที่เป็นเหมือนกระดาน Whiteboard บ้านเรา
แต่ที่นี่เป็นเหมือน Tablet ยักษ์ ที่เราสามารถใช้ระบบสัมผัสเพื่อเขียนได้ เล่นอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง เล่นเกมส์ ในจอใหญ่ยักษ์ ทั้งหมดได้ในจอนี้จอเดียว
ในทุกๆวันหลังเลิกเรียน เราก็จะมีกิจกรรมทำกันเสมอๆ เช่น บาร์บีคิว, เดิน Shopping ห้างที่ใหญ่ที่สุดก็จะมีเพียงแค่แห่งเดียวคือ Cairns Center ซึ่งต้องนั่งรถออกจากตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที และจะมี DFO ซึ่งจะขายสินค้า Brand Name รองเท้า เสื้อผ้า ในราคาที่ถูกกว่าในห้าง และอีก 1 กิจกรรมที่ทุกคนที่แครนส์ จะทำเป็นประจำคือ ว่ายน้ำ ซึ่งสถานที่จะใกล้กับโรงเรียน เดินมาประมาณ 20 นาที ก็จะเจอกับสระน้ำใหญ่ ที่นี่จะเรียกว่า “Lagoon” ในทุกๆวันจะมีผู้คนจำนวนมาก มาว่ายน้ำและนั่งพักผ่อน ที่สำคัญเป็นการพบปะสังสรรค์ และฝึกการพูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
อย่างที่บอกว่าเมืองแครนส์เป็นเมืองที่สวย ความน่าสนใจของเมืองแครนส์ เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าร้อนมากๆ และยังมี Great Barrier Reef ที่เป็นแนวประการังที่ใหญ่ และสมบูรณ์ที่สุดจัดเป็น 1ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย ทุกคนที่มาจะต้องไปเยือนที่นี่ โดยการไปดำน้ำดูปะการัง ช่วงที่เรามาปลายเดือนกรกฏาคมซึ่งที่เมืองแครนส์จะเป็นช่วง Winter แต่อย่าถามนะว่าหนาวไหม อยู่ที่แครนส์ 5 เดือนไม่เคยสัมผัสความหนาวเพราะอากาศที่แครนส์ค่อนข้างร้อนมาก กันแดดดีต่อเราที่สุด เรามาเริ่มเดินเที่ยวเมืองแครนส์กันนะคะ
- แครนส์ เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก การเดินเล่นจึงไม่ยากต่อเราเท่าไหร่ เพราะเราสามาถเดินได้รอบเมือง ที่แรกเป็นตลาด Rusty’s Market ซึ่งจะเปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพียงแค่ 3 วัน ในตลาดจะมีผัก ผลไม้หลากหลาย เป็นตลาดที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบทำอาหาร เพราะผักและผลไม้ ในตลาดสดมาก และในตลาดนี้มีเนื้อสัตว์ขายด้วยค่ะ
- Night Market เป็นตลาดกลางคืน ที่มีของกินมากมายไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ขนมต่างๆ มีให้เลือกกินกันอย่างจุใจเลยทีเดียว อีกทั้งราคาก็ไม่ได้แพงมาก เรียกได้ว่าปริมาณคุ้มราคา เพราะเยอะมากๆ หรือถ้าอยากจะซื้อของฝากก็สามารถซื้อที่นี่ได้เลย เพราะราคาจะถูกกว่าร้านในเมือง ที่สำคัญถ้าใครเดินเมื่อย Night Market มีร้านสำหรับนวดให้บริการเยอะมาก
- สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ศิลปินรักศิลปะ ที่แครนส์ก็จะมี Art Gallery ซึ่งเป็นที่จัดแสดงภาพวาด และภาพเขียนต่างๆที่สวยงามโดยนักเขียนที่มีชื่อ และที่สำคัญจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้เกี่ยวกับภาพ และการจัดแสดงต่างๆที่อยู่ภายใน Art Gallery อีกด้วย
- อย่างที่บอกว่าแครนส์ เป็นเมืองที่ทะเลสวย ดังนั้นที่แครนส์จะมีทัวร์สำหรับการดำน้ำตามเกาะอยู่มากมายโดย Package จะอยู่ประมาณ 100 – 200 AUD สำหรับคนที่ชอบ Snorkel ต้องไปที่ Moore reef จะมีปลาอยู่มากมายหลายชนิด รวมถึงปาการังที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก อีก 1 เกาะคือ Fitzroy Island ที่เกาะนี้สามารถ Snorkel และพายเรือ Kayak ได้ด้วย เกาะนี้ถือว่าสวยมาก เพราะสามารถเดินขึ้นไปบนเขาเพื่อชมวิวเกาะ (ระยะเวลาเดินไป – กลับ ประมาณ 2 ชั่วโมง )
เที่ยวเมืองแครนส์ต้องเที่ยวแบบระมัดระวังนะคะ ต้องอ่านป้ายและดูข้อมูลตามสถานที่ต่างๆให้ดี เนื่องจากเมืองแครนส์มีสัตว์และพืชที่อันตรายค่อนข้างเยอะ อาทิเช่น จระเข้ ฉลาม แมลงพรุน และพืชบางชนิด ถ้าสถานที่ใดมีป้ายชี้เตือน ควรจะปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองนะคะ แม้แต่นกยังดุ อันนี้เราเจอกับตัวเองเลยค่ะ โอ้ววว พระเจ้า!!! เราเดินมาโรงงเรียนเจอนกจิกหัว เพียงเพราะเราไม่รู้ว่าเราเดินไปใกล้กับลูกของนาง นางบินเข้ามาจิกหัวคิ้วเลยจ้า(T_T)
เราอยู่แครนส์เป็นระยะเวลา 5 เดือน สำหรับการไปเรียนภาษาอังกฤษ และเป็นการใช้ชีวิตเพียงคนเดียวในต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต แต่สิ่งที่เราได้รับในครั้งนี้มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่า ในด้านการเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่แครนส์ ทำให้เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากวันแรกที่ไป 3 คำที่พูดได้ คือ Yes, No, OK
แต่ตอนนี้สามารถพูดคุยสื่อสารกับชาวต่างชาติรู้เรื่องมากขึ้น อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าจดจำมากมาย คือ เพื่อนๆ และครูที่โรงเรียน ซึ่งทุกคนน่ารักมาก และมีน้ำใจให้กันเสมอ การใช้ชีวิตในต่างประเทศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้เลย สำหรับใครที่ต้องการอยากจะเรียนภาษาอังกฤษที่แครนส์ หวังว่าประสบการณ์ครั้งนี้จากเรา จะเป็นอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายๆคนที่ยังลังเลอยู่กับการไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ
สำหรับเราแล้วที่ “แครนส์” เราขอรับรองได้เลยค่ะว่า คุณจะได้ภาษาเองโดยอัตโนมัติเพราะอย่างที่บอกไปแล้วเบื้องต้นว่า ที่แครนส์คนไทยค่อนข้างที่จะน้อย ดังนั้เราพูดภาษาอังกฤษได้อย่างแน่นอนค่ะ
ขอบคุณ Kaplan International