4 พฤติกรรมบั่นทอนอายุ ที่ไม่ควรทำเป็นอันขาด
1. กินไขมันเป็นประจำ
ทราบหรือไม่ว่าไขมันอันมาจากเนื้อสัตว์และของผัดทอดในท้องตลาดล้วนเป็นตัวการสำคัญที่จะส่งผลเสียให้เกิดขึ้นกับเซลล์ภายในร่างกายของเรา ส่งผลให้เซลล์เกิดการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไขมันยังเป็นเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย จนทำให้หุ่นของเราดูอวบอ้วน ส่งผลเสียต่อสภาพผิวหนังให้หย่อนคล้อยมากขึ้นอีกด้วย
2. เครียดสะสมจนเคยชิน
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายของเราทำงานผิดปกติ แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะมาจากสภาพจิตใจภายในแต่ทว่ากลับส่งผลกระทับต่อสภาพร่างกายได้เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ร่างกายเกิดการหลั่งสารชนิดหนึ่งขึ้นมา สารชนิดนี้เมื่อมีในร่างกายมากๆ ก็จะทำให้เราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง เซลล์ต่างๆ เกิดการเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำและดูไร้ชีวิตชีวาโดยเฉพาะคนที่มีความเครียดบ่อยๆ มักจะทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าจนแลดูแก่ก่อนวัยขึ้นมาได้
3. กินอาหารที่ร้อนจัด
แม้ว่าการกินอาหารร้อนๆ จะดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารที่เย็นชืด แต่ทว่าการกินอาหารที่มีความร้อนมากจนเกินไปก็ส่งผลเสียต่อเซลล์ภายในร่างกายของเราได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มร้อนประเภทกาแฟ และชาที่ร้อนจัด เมื่อสัมผัสเข้ากับเซลล์ผิวหนังของเราบ่อยๆ เข้า ตั้งแต่ลิ้นไปจนถึงหลอดอาหาร ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการอักเสบและอาจจะแปรสภาพกลายเป็นเซลล์มะเร็งตามมาได้ ดังนั้นทางที่ดีเราควรกินอาหารและดื่มเครื่องดื่มในขณะที่อุ่นๆ จะดีกว่า
4. กินอาหารรสจัดจ้านเป็นประจำ
อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน จนทำให้หลายๆ คนมักจะชอบกินอาหารรสเผ็ดจัดและเค็มจัดมากจนเกินไป ซึ่งอาหารรสจัดเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้ระบบการทำงานของร่างกายต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัด จะทำให้ร่างกายรู้สึกขาดน้ำ ส่งผลให้ไตทำงานหนักเพื่อกำจัดความเค็มส่วนเกินออกไป และยังเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารจากการระคายเคืองอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงระบบร่างกายถูกกระตุ้นจนทำให้เกิดสิวในปริมาณมากบนใบหน้าก็อาจจะส่งผลให้ใบหน้าหมองค้ำและไม่เรียบเนียนตามมา
ฉะนั้น หากใครที่ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องเจอปัญหากับการถูกเรียกว่าคุณป้าก่อนเวลาอันควรแล้วละก็ อย่าลืมหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ให้ดี เพราะมิเช่นนั้นแล้วสภาพร่างกายของเราอาจจะเสื่อมโทรมจนไม่สามารถกลับมาแก้ไขให้อ่อนเยาว์ดังเดิมอีกก็เป็นได้
แหล่งที่มา:อ้างอิง http://www.naarn.com/12274/