1 คืน กับ 2 วัน ในเมืองเล็กๆอันเงียบสงบกลางหุบเขา “สังขละบุรี”
“สังขละบุรี” ชื่อนี้ได้ยินมานานแล้ว เพิ่งมีโอกาสได้ไปเยือนกับเค้านี่หล่ะ เป็นทริปที่บังเอิญได้เหมาะเจาะจริงๆ หลังจากหลบไปอยู่ต่างจังหวัดพักใหญ่ๆ เพราะอารมณ์ติสอยากหลีกหนีเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ได้เที่ยวกับเพื่อนๆซะด้วย ปกติจะลุยคนเดียวซะส่วนใหญ่ ตื่นเต้นนิดๆนะเนี่ย แต่ก็ดีเหมือนกัน มีคนถ่ายรูปให้ ไม่ต้องถ่ายเอง ฮ่าๆๆ เป็นปลื้มตรงนี้หล่ะ นอกจากนั้นยังมีสาวๆคอยจัดการเรื่องที่พักกับการเดินทางด้วย ยกความดีความชอบให้เค้าเลย สุดยอดจริงๆ
ข้อมูลไม่มีหรอกครับ สำหรับทริปนี้ ผมรู้แค่ว่าที่สังขละบุรีมีสะพานมอญแค่นั้นแหละ ไม่มีเวลาหาข้อมูลเลย กลับจากอุบลราชธานีด้วยรถไฟ ถึงกรุงเทพในตอนเช้า แล้วก็ไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิต่อเลย มุ่งสู่กาญจนบุรีครับผม สงสารร่างกายตัวเองมาก ถึกใช้ได้เลยแฮะเรา นั่งรถไฟข้ามคืนแล้วต่อรถตู้ไปเที่ยวได้เนี่ย ไม่ค่อยจะใจรักเล๊ย สาบานได้
ทริปนี้เรานัดกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ หรือเรียกติดปากกันว่าอนุสาวรีย์ชัยนั่นหล่ะ สั้นดี มีกัน 5 ชีวิต 3 หนุ่ม 2 สาว ตัวผมเองไม่ค่อยได้วางแผนอะไรมาก ไปให้ทันตามนัดก็พอ ไปถึงก็เดินหาเพื่อนๆให้วุ่น หากันไม่เจอ คนเยอะเหลือเกิน ระหว่างเดินหาเพื่อนก็แชะภาพพระอาทิตย์ขึ้นไปด้วย นานๆทีจะมีโอกาสมาอนุสาวรีย์ชัยกับเค้ามั่ง วิวสวยใช้ได้เลยครับ ผมนี่เป็นปลื้มสุดๆเลยทีเดียว(เว่อร์ไปหน่อยแต่มันก็จริงนะ ไม่ได้โม้เลย) พอเจอกันครบทีมแล้วสาวๆก็พาไปซื้อตั๋วรถตู้มุ่งไปกาญจนบุรี สบายมากเลยทริปนี้ แต่มันไม่สบายตรงที่เราต้องนั่งรถตู้กัน 2 ชั่วโมงกว่าๆนี่หล่ะ เพื่อนๆน่ะไม่เท่าไหร่นะ แต่ผมนี่สิ่ นั่งรถไฟจนตูดด้านมาทั้งคืนแล้วนะ นั่งรถตู้ต่อนี่ถึงกะชาเลยครัช แต่ก็เอาวะ ไหนๆก็อยากไปอยู่แล้วนี่ สู้ต่อไปละกัน ราวๆ 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองกาญแล้วครับ หลับบ้างตื่นบ้างตลอดทาง เรียกว่าไม่ได้ดูข้างทางอ่ะไรหรอก ง่วงมากมายเลยงานนี้ ถึงแบบเบลอๆ
ถึงเมืองกาญปุ้บ ก็พากันเดินหารถไปสังขละบุรีต่อ งานนี้ผมแอบสงสัยนิดๆนะว่าสาวๆเค้าหาข้อมูลเรื่องรถมาบ้างแน่ๆเลย เพราะเจ้เค้ารู้ว่าคิวรถที่ไปสังขละบุรีมันอยู่ตรงไหน ไม่ได้เดินถามไปเรื่อยๆเหมือนที่ผมทำเวลาไปเที่ยวคนเดียว พอซื้อตั๋วแล้วรอซักพักนึงรถก็ออกครับ มุ่งสู่สังขละบุรี(จริงๆเค้าสุดสายที่ด่านเจดีย์ 3 องค์นะครับ) 3 ชั่วโมงกว่าแน่ะ กว่าจะถึง คุณพระ ตูดด้านหนักกว่าเดิมสิ่ท่าน น้ำตาจะไหล ระหว่างนั้นก็หลับๆตื่นๆตลอดทางอีกเหมือนเดิม แต่พอถึงโซนภูเขาเยอะๆ เท่านั้นหล่ะ หลับไม่ลงกันเลยทีเดียว รถตู้ขึ้นเขานี่สุดยอดจริงๆ เหมือนนั่งรถไฟเหาะสิ่ครัช เสียวไส้ใช้ได้เลย หลับไม่ลงแล้วหล่ะงานนี้ แต่วิวข้างทางสวยจริงๆครับ เห็นแล้วอยากแวะเก็บภาพสุดๆ แต่เค้าไม่จอดให้หรอก งานนี้ก็เลยอดเก็บภาพระหว่างทางไปตามระเบียบ แต่ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ เอาสังขารให้รอดจากโค้งพวกนี้ก่อนดีกว่า ปวดเศียรเวียนเกล้าใช้ได้เลยจริงๆ ดีที่ไม่อ้วก ไม่งั้นล่ะยุ่งเลย สุดท้ายก็ถึงสังขละบุรีกันโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณคนขับรถครับ ที่พาผมนั่งรถไฟเหาะมาเที่ยวซะไกล
หาที่พักในสังขละบุรียังไง?
ทริปนี้ถึงเป้าหมายแบบงงๆยังไงไม่รู้แฮะ ถามคนขับรถอยู่สองรอบเพื่อความมั่นใจ เมืองเค้าเงียบสงบดีจริงๆ มีร้านค้ากับร้านอาหารประปรายสองข้างทาง มีพี่วินมอไซค์อยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถตู้จอดมาก แวะใช้บริการสะดวกถ้าขี้เกียจเดิน แต่บังเอิญพวกเราขยันบวกกับหิวโซกันแล้ว ก็เลยเดินหาของกินกันก่อนเลย กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ หาของกินใส่ท้องก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน เดินหาร้านอาหารกันซักพักก็เจอแถวๆตรงข้ามถนนคนเดินมีตลาดแถมมีร้านอาหารตามสั่งให้เลือกนั่งกันเยอะเลย ก็เลยตกลงพักเบรคกันที่นี่ ระหว่างนั่งกินข้าวกันก็หาที่พักไปด้วย ดูจาก Agoda บ้าง จากอินเตอร์เน็ตบ้าง ก็มีเยอะกันพอสมควร แต่ไม่ค่อยจะว่างเท่าไหร่ ราคาก็พอไหว ไม่โหดเกินไป แต่แอบสูงกว่าในเมืองกาญอยู่เหมือนกัน ก็สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวแหละ
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ได้เวลาออกหาที่พักแล้วครับ แต่เมืองนี้ดีอย่างหนึ่งคือผู้คนเค้าเป็นมิตรมาก ถามถนนหนทาง ถามหาที่พักเค้าช่วยแนะนำได้ดีเยี่ยมเลย เป็นจุดหนึ่งที่ผมปลื้มมากๆเลยทีเดียว เค้าไม่ใช่แค่ช่วยตอบคำถามนะครับ เค้าพาไปดูเลย ขับรถพาคนแปลกหน้าอย่างพวกผมนี่แหละไปดูห้อง ดูที่พัก ราคาห้องก็อยู่ประมาณ 800 บาท พอหารกันได้ ไม่โหดมาก ก็เลยได้มา 2 ห้อง เก็บข้าวเก็บของ แล้วก็พากันวางแผนเที่ยวกันต่อ ที่พักที่นี่ดีอย่างหนึ่งนะครับ นอกจากที่พักแล้วเค้ายังช่วยหารถ หามอเตอร์ไซค์ให้เช่าด้วย เหมือนเค้ามีเครือข่ายของเค้าอยู่แล้ว สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราจริงๆ แถมราคาไม่แพงด้วย ตก 200 บาทต่อคันเอง พวกผมเช่ามา 2 คันครับ หมดไป 400 ตะลอนเที่ยวกันจนหนำใจหล่ะทีนี้
สถานที่ท่องเที่ยวในสังขละบุรีไปที่ไหนกันบ้าง?
ที่นอนก็มีแล้ว รถก็มีแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว พักเอาแรงกันซักพักรอแดดร่มลมตกกันซักพักแล้วค่อยออกตะลุยเที่ยวกัน เล่าถึงที่เที่ยวกันหน่อยดีกว่า อันนี้ขาดไม่ได้เลยครับ เพราะพวกเรามาเที่ยว(เป้าหมายหลักๆ) อันดับแรกนี่ไม่ต้องคิดเลยครับ มุ่งสู่สะพานมอญเลย สัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยนี่เนาะ ไม่พลาดอยู่แล้ว ด้วยความที่เมืองนี้ไม่ใหญ่มาก เราเลยไปไหนมาไหนได้สะดวกมาก ที่พักก็ไม่ไกลจากตัวสะพานมอญมากนัก จริงๆเดินไปก็ได้ครับ แต่อาจจะหมดพลังงานไปเยอะหน่อย เราก็เลยเลือกขับมอไซค์ไปดีกว่า เก็บแรงไว้ตะลุยเที่ยวกัน จะได้ไม่เหนื่อยกันมาก
ตัวสะพานมอญนั้นทางลงค่อนข้างลาดชันพอดูเลยครับ แต่ก็สามารถขับมอไซค์ลงไปได้ ไม่ต้องเดินไกลมาก(ตอนขึ้นค่อยเดินขึ้นเอา) ตัวสะพานเป็นสะพานไม้ขนาดใหญ่เหมือนที่เราเห็นกันในรูปนั่นแหละครับ บนตัวสะพานนั้นนักท่องเที่ยวเยอะมาก เดินขวักไขว่กันทั่วไปหมด ตัวผมเองยังแอบสงสัยเลยว่าภาพโปสการ์ดสวยๆที่เค้าถ่ายสะพานแล้วไม่มีคนบนสะพานเค้าถ่ายกันตอนไหน เพราะคนเยอะมากจริงๆ แต่ก็สวยมากครับ ถึงจะมีคนเดินเต็มไปหมดก็ตาม ผมว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะ ดูมีชีวิตชีวาดี
ก่อนทางเข้าสะพานเค้าจะมีพวกทัวร์ท้องถิ่นไว้บริการด้วยนะครับ ราคาไม่แพงมาก ส่วนใหญ่จะต้องเหมาเป็นรอบ มีทั้งทัวร์รอบเมืองเอง หรือจะไปเที่ยวฝั่งพม่าก็มีไว้บริการครับ ที่พวกเราเลือกไปกันก็คือล่องเรือชมวัด รอบละ 500 บาท ดีนะที่ไปกัน 5 คนพอดี เลยหมดกันคนละร้อยเอง คุ้มมากมายสำหรับตะลอนเก็บภาพวัดของชาวมอญสวยๆกลางน้ำ จุดที่เราไปกันมี 3 จุดครับ เป็นวัดเก่าแก่ของชาวมอญเค้า สวยแปลกตาดีครับ เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นจริงๆ เพราะปกติผมจะชอบเที่ยวทางภาคเหนือแล้วก็ภาคอีสานซะมากกว่า วัดที่เห็นบ่อยจึงเป็นสไตล์ล้านนา แล้วก็สไตล์ขอม เรียกได้ว่าแปลกตาไปอีกแบบจริงๆ ใครที่มีโอกาสแวะไปก็อย่าลืมไปลองล่องเรือเที่ยวดูนะครับ แต่อาจจะต้องเหนื่อยนิดนึงนะ เพราะวัดที่ 3 ที่เราไปกันนั้นต้องเดินขึ้นไปนิดหน่อย ทางขึ้นค่อนข้างไกลจากริมน้ำพอสมควร แต่คนชอบไหว้พระน่าจะชอบนะ เพราะตัววัดดูขลังดี จบจากล่องเรือเที่ยว 3 วัดนี้เราก็กลับเข้าเมืองเพื่อหาอ่ะไรใส่ท้องกันอีกรอบ(พูดเหมือนไกล จริงๆก็ขับมอไซค์แปปเดียวเอง) เดินเล่นถนนคนเดินกันนิดหน่อย เสร็จแล้วก็กลับที่พักแล้วก็แยกย้ายกันหลับเอาแรง เป็นอันจบคืนแรก
เช้ามาผมแอบไปเก็บภาพรอบๆสะพานมอญกับสะพานเหล็กอีกรอบ(เพื่อนๆตกลงกันว่าจะไปใส่บาตรตอนเช้า แต่ไม่ยักกะมีใครตื่น) บรรยากาศดีมากมาย กลับมาอาบน้ำเตรียมตัวไปเที่ยวต่อ คราวนี้เราแว้นไปชมเจดีย์พุทธคยากันครับ ตัวเจดีย์โดดเด่นเห็นแต่ไกลมาก มองเห็นกันตั้งแต่ตอนไปล่องเรือชมวัดใต้น้ำแล้วครับ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง ตรงข้ามกับที่เราพักกัน แต่ก็เดินทางสะดวกครับ ขับรถไปไม่นานก็ถึง คุ้มค่ามากที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ใครที่ชอบไหว้พระขอพร อันนี้ผมแนะนำเลยครับว่าให้ลองไปเยือนซักครั้ง เจดีย์สวยงามจริงๆ และนอกจากตัวเจดีย์พุทธคยาแล้วบริเวณรอบๆก็มีร้านขายของที่ระลึกสวยๆมากมายเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับ งานฝีมือต่างๆเยอะมาก สวยๆทั้งนั้นเลย
อีกที่หนึ่งที่เราแวะไปเที่ยวกันคือวัดวังก์วิเวการามครับ อยู่ถัดจากเจดีย์พุทธคยาไม่ไกลมาก แวะพักกันที่นั่น ตะลอนเก็บภาพกันนิดหน่อย แล้วก็กลับที่พักกัน เพราะเราต้องเช็คเอาท์กันก่อนเที่ยงครับ ก็เลยต้องทำเวลากันหน่อยนึง
งบประมาณและค่าใช้จ่ายโดยรวมหมดไปเท่าไหร่?
หลังจากตะลอนเที่ยวกันจนเต็มอิ่มแล้วขอสรุปเรื่องค่าใช้จ่ายกันหน่อยดีกว่า ทริปนี้ส่วนใหญ่หมดไปกับค่ารถซะส่วนใหญ่ครับ ค่ารถตู้จากกรุงเทพถึงกาญจนบุรีหมดไป 120 บาทครับ แล้วก็จากเมืองกาญจนบุรีไปสังขละบุรีอีก 175 บาท ค่าที่พักกับค่าเช่ารถหมดไปคนละ 400 บาท ค่าทริปล่องเรือหมดไปอีกคนละ 100 บาท ค่ารถขากลับจากสังขละบุรีมากาญจนบุรีก็หมดไป 175 บาท จากตัวเมืองกาญจนบุรีมากรุงเทพอีก 110 บาทถ้วน สรุปแล้วโดยรวมหมดไป 1000 บาทนิดๆ ถือว่าคุ้มสุดๆเลยครับสำหรับทริปนี้ แต่อันนี้ไม่รวมค่ากินกับค่าของฝากนะครับ ดีหน่อยที่ผมไม่ใช่ขาช็อปปิ้ง ไม่งั้นมีการหมดตัวเกิดขึ้นแน่ๆ ของที่ระลึกสวยๆเยอะมากจริงๆ
ความประทับใจในเมืองเล็กๆแห่งนี้ “สังขละบุรี”
เล่ามาซะยาวเลย ขอเล่าต่ออีกซักหน่อยดีกว่า เกี่ยวกับความประทับใจในเมืองเล็กๆกลางหุบเขาแห่งนี้ ความประทับใจแรกคือทิวทัศน์ที่สวยงามครับ รายล้อมไปด้วยวิวทิวทัศน์ที่สุดยอดจริงๆให้ตายเถอะ ผมตกหลุมรักตั้งแต่เห็นสะพานมอญแล้ว เป็นเมืองที่ดูสงบแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนเป็นมิตรมาก ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี เป็นอ่ะไรที่ประทับใจมากครับ โดยส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องการไหว้พระทำบุญอ่ะไรมากมายนะครับ ผมตกหลุมรักที่นี่เพราะผู้คนที่นี่น่ารักนี่แหละ เป็นเสน่ห์ที่สุดยอดจริงๆ ไม่ค่อยได้เจอในเมืองใหญ่ๆเท่าไหร่นัก การเดินทางราวๆ 5 ชั่วโมงของผมนั้นคุ้มค่าสุดๆครับ ลองแวะไปสัมผัสดูซักครั้งนะครับ ไม่ต้องเชื่อผมมากก็ได้ พิสูจน์มันด้วยตัวของคุณเอง และแน่นอนครับว่าผมจะกลับไปอีก ถ้าผมมีโอกาส
สำหรับทริปนี้ก็คงจบเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณเพื่อนๆร่วมทริปที่น่ารักทุกคน ขอบคุณที่ร่วมสร้างทริปดีๆด้วยกัน ขอบคุณเมืองเล็กๆแห่งนี้ที่มีอยู่บนโลก(เว่อร์ไปล่ะ)ให้ผมได้มีโอกาสไปเยือน ขอบคุณรีสอร์ทน่ารักๆที่อยู่แลพวกเราอย่างดีอย่างศรีเพ็ชร์รีสอร์ท ทั้งเรื่องที่พักและช่วยหารถเช่าให้ แถมยังไปส่งพวกเราถึงคิวรถตู้กลับบ้านอีก ขอบคุณคนขับรถที่พาพวกเราเดินทางอย่างปลอดภัยครับ ถึงมันจะหวาดเสียวไปหน่อยก็เถอะ(เพราะทางขึ้นเขามันโค้งเยอะนะครับ ไม่ใช่เพราะเค้าขับเร็วมาก) แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะครับ เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
อันนี้เรื่องเล่าจากเว็บผมเองครับ ประสบการณ์จริง อย่าลืมแวะไปเยี่ยมมั่งเน้อ พี่น้องชาวโพสจังที่น่ารักทุกคน ^_^
ว่างๆก็แวะไปคุยเล่นที่เพจด้วยล่ะ แวะมาให้กำลังใจกันหน่อย แชร์เรื่องท่องเที่ยวบ้าๆบอๆตามประสาผมหล่ะ