หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ความอิจฉาริษยา ไม่ลงรอยกัน..ในพระราชสำนักฝ่ายใน

โพสท์โดย พระพันปีหลังม่าน

 

                

           สถานที่ใดที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก    ย่อมต้องมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อย      ในพระราชสำนักฝ่ายในก็คงหลีกหนีธรรมชาติเช่นนี้ไปไม่พ้น    แม้ว่าทุกคนจะมีศูนย์รวมแห่งความจงรักภักดีอยู่ที่องค์พระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวกัน     และมีความพยายามที่จะระมัดระวังมิให้เกิดการกระทบกระทั่งกันให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

 

 

 

           แต่เพราะพื้นฐานจิตใจและการอบรมบ่มนิสัย     ของผู้ที่เข้ามาถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาแต่ละท่านไม่เหมือนกัน      ด้วยเหตุนี้ความอิจฉาริษยา   การชิงดีชิงเด่น ชิงความรักและความเป็นหนึ่ง    จึงต้องเกิดขึ้นบ้าง   แต่มักไม่ใคร่จะมีหลักฐานปรากฏ     เพราะถือเป็นเรื่องส่วนพระองค์ภายในพระราชวงศ์     ไม่สมควรที่คนภายนอกจะล่วงรู้ให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ

 

 

           อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า   เรื่องการอิจฉาริษยา   ชิงดี ชิงเด่นกัน     ในพระราชสำนักฝ่ายในนั้นน่าจะมีแต่เป็นเพียงเรื่องราวที่คลุมเครือ     ไม่กระจ่างชัดและไม่อาจที่จะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา     บางเรื่องเป็นเรื่องซุบซิบโจษขาน     บางเรื่องมีปรากฏในพระราชหัตถเลขา    บางเรื่องก็เป็นเรื่องเส็ก ๆ   น้อย ๆ  บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหญ่    เรื่องเล็กน้อยอาจจะ    ได้แก่ความไม่ลงรอยกันหมั่นไส้และหึงหวงกัน

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ   พระราชชายา เจ้าดารารัศมี

 

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี

          ......พระราชชายา เจ้าดารารัศมี   ตรัสขณะประทับในพระบรมมหาราชวังเป็นคำเมืองว่า   " ใคร่ปิ๊กบ้านวันละร้อยเตื้อ "   แปลว่าอยากกลับบ้านวันละร้อยหน    ก็น่าจะหมายถึงมีปัญหาที่ทำให้ไม่สบายพระทัยนัก

          ตามคำบอกเล่าของท่านผู้ใกล้ชิดเล่าว่า   พระองค์ได้รับความวิปโยคต่าง    จาก “มือมืด” ทั้งหลาย    .....แม้แต่ในขันทองสรงน้ำก็มีกระดาษเขียนตัวอักษรเลขยันต์คล้ายคาถาอะไรวางอยู่    .....และน้ำในห้องสรงก็ถูกโรยด้วยหมามุ่ย   .....อยู่ดี ๆ  บางทีก็มีถุงเงินพระราชทานของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  มาวางอยู่ตามทวารห้องบรรทมเพื่อหาเรื่องให้พระราชชายาว่าขโมยมา    ..... อย่าว่าแต่อะไรเลยภายในสวนสวรรค์ข้าง ๆ  พระตำหนัก ยังมีสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ทิ้งเรี่ยราดอยู่   ......จู่ๆ ก็มีตัวบุ้งตัวหนอนไต่ยั้วเยี้ยตามพระแท่นบรรทมเล็กหน้าห้อง ......บางทีทรงได้ยินเสียงตะโกนลั่นผ่านหน้าห้องบรรทมว่า   เหม็นปลาร้า”    .....บ่อยครั้งที่พระกระยาหารบรรจุวางบนถาดเงินก็ถูกกีดกันมิให้ผ่านเข้าออกทวาร   ......ผู้ที่ปรนบัติรับใช้พระองค์ก็พลอยถูกจงเกลียดจงชัง    มีคนเอาปลาทูใส่กะลามะพร้าวไปวางไว้บนสำรับกับข้าว

          ทรงบ่นกับผู้ใกล้ชิดว่า   พระองค์ใคร่จะเสวยลำโพง (มะเขือบ้า)   เป็นคนวิกลจริต   แล้วทางกรุงเทพฯ   จะได้ส่งกลับนครเชียงใหม่บ้านเกิดให้รู้แล้วรู้รอด   จะได้พ้นจากความลำบากยากแค้นเสียที   และผู้ใกล้ชิดของพระองค์ได้ทัดทานไว้ว่าขอให้อดใจรอจนกว่าเหตุร้ายจะกลายเป็นดีในวันหนึ่ง

          พระราชชายาเจ้าดารารัศมี   ทรงมีขันติอดทนอย่างน่าชมเชย   พระองค์มิได้ทรงแพร่งพรายเรื่องราวอะไรต่าง ๆ  นานาให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงทราบแม้แต่น้อย      

 

 

 

 

 

 

 

 เรื่องของ    สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพย์ฯ

      

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ/สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมารศรีฯ/สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพย์ฯ

           อีกเรื่องที่มีการซุบซิบเล่าลือในหมู่ชาววัง    คือเรื่องพิธีแห่โสกันต์    สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพย์ สุขุมขัติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร     พระราชธิดาซึ่งประสูติแต่   สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมารศรี พระอัครราชเทวี     ทรงเป็นพระราชธิดาที่มีพระสิริโฉมงดงาม      เป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดายิ่งนัก

           เมื่อครั้งโปรดให้โสกันต์นั้น   ปกติจะต้องมีพิธีแห่โสกันต์ในเวลาเย็น     แต่พิธีแห่ต้องเลื่อนไปจนค่ำ     มีเรื่องเล่าเชิงลือกันว่า      สาเหตุเป็นเพราะสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ    ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระนางเธอ    เกิดประชวรปัจจุบันและบรรทมหนุนพระเพลาสมเด็จพระบรมราชสวามีไว้    ทำให้พระองค์ไม่อาจเสด็จไปงานพิธีโสกันต์ตามกำหนดได้

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ    พระวิมาดาเธอฯ 

    

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ พระวิมาดาเธอฯ

           ความอิจฉาริษยาเป็นเรื่องที่อยู่ในใจไม่มีใครหยั่งรู้ได้  จนกว่าจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่บ่งบอก   แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น    เกิดเพราะความอิจฉาริษยา   เพราะอาจมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ต้องปฏิบัติเช่นนั้น     ดังเหตุการณ์ต่าง ๆ   ที่เกิดขึ้นเนือง ๆ    ในพระราชสำนักฝ่ายใน   เช่น

          กรณีที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  สั่งทำลาย เนกาตีฟ    ภาพคู่พระพุทธเจ้าหลวง    กับพระวิมาดาเธอ  พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์      ทรงอ้างความไม่เหมาะสมที่จะทรงฉายพระรูปคู่กับพระมเหสีองค์อื่น   

          โดยเรื่องนี้เจ้าจอมสดับเล่าไว้ว่า   "...พระวิมาดาเธอฯ   ท่านทรงมีความสวามิภักดิ์ต่อเบื้องพระยุคลบาทพระพุทธเจ้าหลวงอย่างยิ่ง   สิ่งใดที่เห็นว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดความยุ่งยากพระราชหฤทัย     ถ้าท่านอาจจะแก้ไขตัดสาเหตุอันนั้นได้ก็จะทรงกระทำทันที     แม้การนั้น ๆ   จะกลับเป็นเครื่องบีบคั้นพระทัยของพระองค์เองอย่างทารุณก็ตาม    

           เช่นครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าหลวง    ทรงพระกรุณาชักชวนให้พระวิมาดาเธอฯ    ฉายพระรูปคู่กับพระองค์ท่าน      ทำให้เกิดความปิติปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุด   เพราะเท่ากับว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงซึ่งพระราชหฤทัยว่า    ทรงพระเมตตาและทรงยกย่องมาก

           แต่ครั้นเมื่อช่างได้ทำการฉายและจัดพิมพ์ส่งมาทูลเกล้าฯ  ถวายแล้ว      สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ  ทอดพระเนตรเห็น      ก็กราบบังคมทูลว่าไม่สมควรที่จะทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์คู่กับพระมเหสีอื่น ขอให้ทรงเรียกรูปที่พิมพ์แล้วพร้อมทั้งเนเคตีฟ  มาทำลายเสียให้หมด     พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชดำริว่า      การทำเช่นนั้นจะเป็นการบีบคั้นพระทัยพระวิมาดาเธอฯ  เกินไปจึงนิ่งเสีย    

           แต่เมื่อพระวิมาดาเธอฯ  ทรงทราบ     ก็ทรงพระดำริว่าถ้าไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ     เรื่องก็จะไม่ยุติลง    คงจะเกิดร้าวฉานให้ร้อนถึงเบื้องพระยุคลบาท   ดังนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่ทรงปราถนาอย่างยิ่ง    ที่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกเป็นที่ชิ่นชมในพระมหากรุณา     แต่เมื่อเก็บไว้ก็จะทำให้พระพุทธเจ้าหลวงทรงร้อนพระราชหฤทัย      ท่านก็ตัดสินพระทัยเด็ดขาดถวายพระรูปคืน      เพื่อให้ไปทำลายเสียตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ  เจ้าจอมก๊กออ

         

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ   เจ้าจอมก๊กออทั้ง 5

           เจ้าจอมก๊กออทั้งห้า    เป็นพระสนมคนโปรดของพระพุทธเจ้าหลวง       เจ้าจอมก๊กออเป็นที่โปรดปรานเป็นระยะเวลามากว่า 30 ปี    โดยที่บางท่านไม่มีพระเจ้าลูกเธอมาเป็นเครื่องผูกมัด    แต่เป็นเพราะคุณสมบัติพิเศษของเจ้าจอมก๊กออในแต่ละท่าน   อาทิ  เจ้าจอมเอี่ยม  เป็นผู้ชำนาญงานนวด    ส่วนเจ้าจอมเอิบ   เป็นผู้ที่มีไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า    มีหน้าที่ในการแต่งฉลองพระองค์ของพระราชสวามี    มีความสามารถในการถ่ายภาพ    และสามารถทำอาหารได้พิถีพิถันต้องพระราชหฤทัย

          แต่ด้วยความเป็นกลุ่มคนโปรดของพระพุทธเจ้าหลวง       จึงเป็นเหตุที่ทำให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ไม่พอพระทัยนัก   และปฏิเสธที่จะเสด็จตามพระราชสวามีไปยังเมืองเพชรบุรี   ที่ซึ่งระยะหลัง ๆ   พระราชสวามีได้เสด็จไปบ่อยดุจราชสำนักประจำ   สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯทรงตรัสกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว     ซึ่งขณะนั้นยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมารว่า    "จะให้แม่ไปประจบเมียน้อยของพระบิตุรงค์(พ่อ)นั้น   เหลือกำลังละ"

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ    สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี

 

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี    

           นอกจากความอิจฉาริษยา    แข่งขันชิงดีชิงเด่นชิงความรักความเป็นใหญ่ระหว่างกันแล้ว    สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ชาววังระวังและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดที่สุดก็คือ     การรักษาสถานภาพการเป็นคนโปรดหรือที่เรียกว่า    "ขึ้น"  เพราะเวลา  "ขึ้น" นั้นจะมีทั้งอำนาจวาสนาทรัพย์สินเงินทอง     ผู้คนต่างพากันเข้ามาสวามิภักดิ์ยอมตัวอยู่ในพระบารมี      เวลาที่ไม่โปรดปรานเรียกว่า    "ตก"    สิ่งต่าง ๆ    ประดาที่เคยมีก็พลันสูญเสียไป      ความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในสภาพนี้     ก็คือความรู้สึกของปถุชนคนทั่วไป      คือมีทั้งความเสียใจเสียดายถึงสื่งดี ๆ  ที่ผ่านไป      เว้นแต่ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะกำกับกายใจอยู่จึงจะพ้นภาวะและความรู้สึกเช่นนั้น

           สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ     ทรงเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ทรงประสบกับภาวะการณ์ "ขึ้น"  และ  "ตก"    อันเนื่องมาจากการที่สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ  พระราชโอรสทรงดำรงตำแหน่ง "สยามมกุฎราชกุมาร"   จึง  "ขึ้น"   ในฐานะที่ทรงเป็น พระราชมารดาองค์รัชทายาท   และทรง   "ตก"  เพราะสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงสิ้นพระชนม์     ฐานะพระราชมารดาองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปอยู่ที่สมเด็จพระศรีพัชริรทรา พระวรราชเทวีแทน

           สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ       ทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า     "...ฉันน่ะไม่เคยขี้เหนียวหรอก    แต่เห็นเสียแล้วเมื่อเวลาฉันมีบุญน่ะ    ล้วนแต่มาห้อมล้อมฉันทั้งนั้นแหล่ะ    เวลามีงานมีการอะไร   ฉันก็ช่วยเต็มที่ไม่ขัด     แต่พอฉันตกก็หันหนีหมด     ไปเข้าตามผู้มีบุญต่อไป ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจไม่ทำบุญกับคนรู้จัก     แต่จะทำการกุศลทั่วไปไม่เลือก..."

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ    เจ้าจอมห้องเหลือง

 

           การ   "ตก"   ชนิดไม่เป็นที่โปรดปรานเป็นสิ่งที่ชาววังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง      ไม่ประสงค์จะให้เกิดกับตนเอง   การ "ตก"   เช่นนี้มีหลายปัจจัย   เช่น   เนื่องมาจากไม่มีพระราชโอรสพระราชธิดาไว้เป็นที่ผูกพันพระราชหฤทัย    หรือมีอายุมาก    หรือมีความประพฤติปฏิบัติตนไม่ต้องพระราชอัธยาศัย    หรือเพราะเหตุผลอื่น ๆ    สตรีเหล่านี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าจอม    ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปี    มีเรือนให้พักอาศัย    แต่ก็มิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่อื่นใดในการที่จะมีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท     จะเข้าเฝ้าก็เฉพาะตามหน้าที่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทธรรมดา   ในเวลาเสด็จพระราชดำเนินเข้าออกเช้าเย็น ณ ห้องโถง    ซึ่งมีพระทวารเปิดออกไปยังอัฒจรรย์สำหรับเสด็จออกฝ่ายหน้า     ห้องดังกล่าวมีฝาผนัง   และเครื่องตกแต่งภายในปิดทองออกสีเหลือง    จึงเรียกกันเป็นสามัญว่า   "ห้องเหลือง"   และเลยเรียกเจ้าจอมที่หมอบเฝ้าประจำอยู่ห้องนี้ว่า     "เจ้าจอมห้องเหลือง"     คำว่า  "เจ้าจอมห้องเหลือง"   จึงเป็นสมญาที่มีนัยแห่งความดูถูก   เยาะเย้ย  สงสารและสมเพชแฝงอยู่     ซึ่งเจ้าจอมทุกคนประจักษ์ในนัยนี้เป็นอย่างดี     จึงไม่มีผู้ใดประสงค์จะอยู่ในสภาพเช่นนั้น

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องของ    เจ้าหม่อมราชวงศ์สดับ

 

เจ้าหม่อมราชวงศ์สดับ

           บางเหตุการณ์ก็เกิดจากความอิจฉาริษยาโดยปิดเผยเช่นเรื่องที่    เจ้าหม่อมราชวงศ์สดับ   ประสบมากับตัวเอง    ว่าการที่ท่านเป็นเจ้าจอมคนโปรดนั้น     คนรอบข้างมีความรู้สึกอย่างไร     ปรากฎความว่า "....การที่ทรงซื้อเครื่องเพชรมาพระราชทาน    โปรดให้แต่งเครื่องเพชร    แล้วให้ช่างชาวต่างประเทศมาถ่ายรูป    โดยทรงพระกรุณาเป็นผู้จัดท่าพระราชทานเอง    ตลอดจนทรงพระกรุณาพระราชทานตู้ของที่ระลึก     และจัดของเข้าแต่งตั้งในตู้พระราชทานด้วยพระองค์เองเหล่านี้      ทำให้เจ้าจอมหลายท่านอิจฉาริษยา     ถึงใช้วิธีส่อเสียดยุแหย่กล่าวหาในข้อร้ายหลายประการ     จนทำให้เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ    รู้สึกตัวว่ามีแต่ผู้หวังร้ายไม่มีผู้หวังดี     ท่านได้บันทึกความรู้สึกตอนนี้ไว้ว่า    "...เหลียวไปพบแต่ศัตรู  คุณจอมนั้นว่าส่อเสียดอย่างนั้น   คุณจอมนี้ว่าอย่างนี้   ตรองดูที   หรือข้าพเจ้าจะย่อยยับแค่ไหน..."

           เรื่องที่ร้ายอย่างยิ่งก็คือ    คุณจอมท่านหนึ่งกล่าวหาว่า    ท่านไม่ซื่อตรงจงรักต่อเบื้องพระยุคลบาท กำลังติดต่อสัมพันธ์ทางชู้สาวกับชายอื่น     ข้อหานี้ฉกรรจ์มาก     ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นทุกข์อย่างหนัก     เกิดความวิตกกังวล      เกรงจะทำให้สิ้นพระมหากรุณา    ขณะนั้นเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับยังอายุน้อยขาดความสุขุม    ก็เลยคิดสั้น     คือคิดทำลายตนเองด้วยการดื่มน้ำยาล้างรูป

           แต่ความใด้ทราบถึงเบื้องพระยุคลบาททันการ     ได้เสด็จลงไปพระราชทานกำลังใจ   และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ    ให้แพทย์ประจำพระองค์ชาวต่างประเทศ     มารักษาช่วยชีวิตไว้ได้ทันท่วงที    ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้กราบบังคมทูลยุยงอีกว่า    "...ชีวิตตัวเองเขายังไม่รัก   แล้วอย่างนี้เขาจะรักใครจริง..." แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เล่ากันว่า   พระพุทธเจ้าหลวงก็มิได้ทรงกล่าวว่ากระไร

 

 

 

 

 

 

 

     

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ/สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ/พระนางเจ้าสุขุมารศรีฯ

           อย่างไรก็ตาม    เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป    ทุกพระองค์ทุกคนต่างก็ลืมเลือนในสื่งที่ได้เคยล่วงล้ำก้ำเกินซึ่งกันและกัน     และต่างก็ให้อภ้ยกันใน

            ".....ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6    สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ   ทรงประชวรหนัก   ครั้งหนึ่งสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี และ  พระนางเจ้าสุขุมารมารศรีพระราชเทวี       ซึ่งล้วนแต่เป็นพระเจ้าลูกเธอในสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4    และเป็นพระมเหสีเทวีใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงด้วยกัน     เสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมพระอาการประชวร    ทรงสนทนากันสามพระองค์พี่น้องถึงความหลังครั้งเก่า 

            แล้วสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ   ที่แม้มีพระอิสริยยศสูงกว่าพระพี่นางทั้ง 2     ก็ทรงกราบลงที่พระบาทสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ    ก่อนที่ใคร ๆ    จะรู้สึกพระองค์     เป็นนัยว่าทรงขอพระราชทานอภัยในความหลังดั้งเดิมทั้งหมด    ฝ่ายพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีฯ    เมื่อทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงเบี่ยงพระองค์ชักพระบาทหลบ    เห็นจะด้วยทรงเกรงว่าสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ   จะกราบมาถึงท่านอีกพระองค์หนึ่ง    เสร็จจากทรงกราบที่พระบาทสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ  แล้ว      สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ  ก็ทรงคลานอ้อมมานิดหนึ่ง   พอที่จะกราบลงที่พระบาทพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีได้    แล้วก็ทรงกราบลง  พร้อม ๆ  กับที่ทรงพระกันแสงกันทั้งสามพระองค์    ทำให้ข้าหลวงแถว ๆ  นั้นอดกลั้นน้ำตามิได้     ร้องให้ไปตาม ๆ กัน..."

 

 

 

 

 

 

 

           สตรีที่อยู่ในพระราชสำนักฝ่ายในนั้น    แม้จะอยู่ในฐานะที่แตกต่างจากคนธรรมดาสามัญ    แต่โดยเนื้อแท้แล้ว     ก็เป็นเพียงผู้หญิงที่มีชีวิตจิตใจ    เช่นบุคคลทั่วไปที่รู้จักรัก  หึงหวง  เสียใจ  ฯลฯ    แต่ก็มีความสามารถเป็นพิเศษในการอดทนอดกลั้น    ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี    และความจงรักภักดีต่อองค์พระประมุข     มิต้องการให้มีสิ่งใดมาระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท    เหตุการณ์ต่าง ๆ    ที่เกิดขึ้นในพระราชสำนักฝ่ายในจึงไม่รุนแรงนัก

                                                                โดย .......พระพันปีหลังม่าน......

ที่มา: ที่มา: http://panya-king5.blogspot.com/
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
184 VOTES (4/5 จาก 46 คน)
VOTED: บางครั้งฟังแจ๊ซ, แสร์, โบจัง, robin123, มนตรา, paktronghie
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เขมรเคลมอีก? อ้าง ข้าวเหนียวทุเรียน คือขนมดั้งเดิมของเขมรโบราณ!เฮทั่วประเทศ ! ฟุตซอลไทย ชนะจุดโทษ ทาจิกิสถาน เข้าชิงแชมป์เอเชีย 2024ปลัดทรงสืบ แฝงนั่งชิลล์อยู่ริมหาดจอมเทียน เจอเหตุรัวปืนเขมรเคลมอีก! การละเล่น"ชักกะเย่อ" มีต้นกำเนิดจากกัมพูชาภาพหลักฐานสลักบนกำแพงชัดเจน?นางเอกดัง จบป.เอกแล้ว ลุ้นเล่นการเมืองสื่อดัง "วอยซ์ทีวี" ประกาศปิดกิจการ 31 พ.ค.นี้ เลิกจ้างพนักงานกว่า 100 ชีวิต ด้าน "แขก คำผกา"เคลื่อนไหวแล้ว เมื่อคุณยายขอแจม "ASOKA MAKEUP"..แบบนี้สิของแทร่!ป่วน ! 3 จว.ใต้ ใบปลิวเกลื่อนยะลา ขณะที่ชาวบ้านไปละหมาดวันศุกร์อดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรก
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เฮทั่วประเทศ ! ฟุตซอลไทย ชนะจุดโทษ ทาจิกิสถาน เข้าชิงแชมป์เอเชีย 2024"ปารีณา-อมรัตน์" สายสัมพันธ์ในวันที่การเมืองเปลี่ยน จากศัตรูสู่มิตร"ป๋าเสรี" ร่วมงานศพ"ทวี ไกรคุปต์" ด้าน"ปารีณา" โผล่สวมกอด ลั่นขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับท่านเสรี!erosion: การกัดเซาะ การทำให้สึกกร่อน
ตั้งกระทู้ใหม่