ผู้รับใช้หญิงของพระเจ้า คุณแม่เทเรซา
แม่ชีเทเรซ่าเป็นสตรีอีกท่านหนึ่งที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าจนได้รับการขนานนามว่า “ของขวัญจากพระเจ้าในหมู่คนที่ยากจนที่สุด” และเรียกขานเธอว่า“นักบุญของชาวสลัม”ในศตวรรษที่ 20 สันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 กล่าวยกย่องว่าเธอเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงแห่งประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 และยังมีคำชื่นชมต่างๆอีกมากมาย แต่สำหรับแม่ชีเทเรซ่า หากเธอยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เธอจะขอร้องว่าอย่าพูดเช่นนี้เลย และเธอจะกล่าวอย่างชาญฉลาดว่า “นี่ไม่ใช่งานของฉัน แต่เป็นงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันเป็นเพียงดินสอแท่งเล็กๆ ที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” ..พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่โลกผ่านทางการกระทำของเรา!
แม่ชีเทเรซ่า มีชื่อจริงว่า แอ็กเนส โบจาวิน (Agnes Bojavhin) เกิดที่เมืองสโกเปีย(Skopje) ปัจจุบันคือประเทศมาซิโดเนีย เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอชื่นชมเรื่องราวชีวิตของมิชชันนารีคนหนึ่งและการรับใช้พระเจ้าของเขา เธอได้รับการทรงเรียกให้รับใช้พระจ้าเมื่อเธอมีอายุได้ 12 ปี เธอได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวคาทอลิก และเธได้อออกจากบ้านไปอยู่กับคณะแม่ชีชื่อซิสเตอร์ ออฟ ลอเร็ตโต(Sisters of Loretto) เมื่อเธออายุได้ 18 ปี นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอไม่ได้พบหน้าแม่และพี่สาวอีกเลย แอ็กเนสได้ปฏิญาณตนเพื่อดำรงตนเป็นซิสเตอร์อยู่ในสมณเพศและได้นามใหม่ว่า “เทเรซ่า” ตามชื่อนักบุญอุปถัมภ์ของเธอ เธอเริ่มต้นจากการสอนเด็กๆ ในโรงเรียน และรู้สึกว่าความยากจนที่มีอยู่เต็มไปหมดในเมืองกัลกัตตา(ประเทศอินเดีย)นับวันยิ่งรบกวนจิตใจเธอมากขึ้นทุกที ที่เมืองนี้เองที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางตัวเธอสำหรับพันธกิจการให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์คนที่ยากไร้ วันหนึ่ง ระหว่างที่เธอนั่งรถไฟไปยังเมืองดาจีลิ่ง (Darjeeling) เธอมีประสบการณ์กับพระเจ้าซึ่งเธอเรียกว่า “การทรงเรียกในการทรงเรียก” เธอได้รับพระบัญชา “ให้ออกจากคอนแวนต์(ที่พำนักของคณะซิสเตอร์)และไปช่วยคนยากจน”
แม่ชีเทเรซ่าเริ่มทำงานอยู่ท่ามกลางคนยากจนในปี ค.ศ.1948 เธอเขียนลงในสมุดบันทึกส่วนตัวของเธอว่าปีแรกๆ ของการทำงานนั้น เธอต้องประสบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆมากมาย เธอไม่มีทั้งรายได้และแหล่งที่จะได้มาซึ่งอาหาร เธอบอกว่าคนทั้งหลายพากันระแวงสงสัยในตัวเธอ และเธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน เธอถูกทดลองจนรำๆอยากจะหวนกลับไปยังคอนแวนต์ที่แสนสุขสบายอยู่หลายครั้ง
แม่ชีเทเรซ่าเป็นสตรียุคศตวรรษที่ 20 ที่สัตย์ซื่อ สุภาพ ถ่อมตน เปิดเผยและมุ่งมั่นในการทำพันธกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เธอไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น เธออุทิศตนทำทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเรียกให้เธอทำอย่างทุ่มเท ความรักความศรัทธาและการเชื่อฟังพระเจ้าของแม่ชีเทเรซ่าได้ขับเคลื่อนให้พันธกิจของพระองค์ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นแรงบันดาลใจของคนที่อุทิศตนให้กับการช่วยเหลือคนยากไร้ในรุ่นหลังๆอยู่ไม่น้อย
เมื่องานที่ทำนั้นได้ขยายออกไปและคนยากจนที่มาขอรับความช่วยเหลือก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แม่ชีเทเรซ่าได้ทำเรื่องไปยังวาติกันเพื่อขอให้ส่งแม่ชีให้ไปช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์เพิ่มมากขึ้น แม่ชีเหล่านั้นคือมิชชันนารีที่ทำงานด้วยความรักและความเมตตา และงานที่พวกเขาทำนั้นคือการช่วยเหลือคนที่หิวโหย คนตัวเปล่า คนไร้บ้าน คนพิการ คนตาบอด คนโรคเรื้อน คนถูกทอดทิ้ง คนที่ไม่มีใครรักและให้ความสนใจ เขาเหล่านั้นกลายเป็น “ภาระของสังคมและใครๆก็พากันรังเกียจ” ปัจจุบันนี้ มีซิสเตอร์และผู้หญิงมากกว่า 4 พันคนจากหลายเชื้อชาติกำลังทำพันธกิจสงเคราะห์ผู้ยากไร้อยู่ใน 5 ทวีปซึ่งพันธกิจที่ทำนั้นครอบคลุมไปถึงสถานสงเคราะห์คนติดเชื้อเอชไอวี คนเป็นโรคเรื้อน วัณโรค ตอลดจนโครงการให้คำปรึกษาแก่เด็กและครอบครัว สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและโรงเรียนต่าง ๆ
แม่ชีเทเรซ่ากล่าวว่า “ความทุกข์ยากที่แย่ที่สุดไม่ใช่ความหิวโหย ไม่ใช่โรคเรื้อน แต่เป็นความรู้สึกว่าไม่มีใครต้องการ ใครๆก็ปฏิเสธ และถูกทอดทิ้ง”
ในสังคมที่มั่งคั่งร่ำรวยของโลกตะวันตก แม่ชีเทเรซ่าพบว่าสภาพการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือความโดดเดี่ยวว้าเหว่ เรากำลังเสาะหาคนทั้งหลายที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเลือกสรรด้วยพระองค์เองเป็นการเฉพาะ ดังหนังสือมัทธิว 25:34-40 ได้กล่าวไว้ว่า “ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา' เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและจัดให้เสวยหรือทรงกระหายน้ำ และจัดมาถวายนั้นตั้งแต่เมื่อไร? ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร? ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือทรงถูกจำคุก และมาเฝ้าพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?' แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย”
ในปี ค.ศ.1952 แม่ชีเทเรซ่าได้เปิดบ้านสำหรับชาวฮินดูที่ถูกทอดทิ้งและกำลังจะตาย เธอและ
ซิสเตอร์คนอื่นๆเดินเข้าไปในสลัมกลางเมืองกัลกัตตาเพื่อนำคนยากไร้ที่นอนป่วยและอดอยากเหล่านั้นไปพักที่บ้านที่กลุ่มซิสเตอร์สร้างขึ้นสำหรับคนที่กำลังจะตาย เพื่อผู้ป่วยเหล่านั้นจะได้รับความรักเมตตาและตายอย่างมีศักดิ์ศรี ผู้ป่วยบางรายได้รับการเยียวยาจนหาย เขาได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูที่สำแดงผ่านทางซิสเตอร์ทั้งหลายผู้เปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา แม่ชีเทเรซ่าสอนทุกคนที่ทำงานอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเธอว่าผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้นควรจะได้“เห็นพระเยซูจากชีวิตของผู้เชื่อทุกคน” เธอบอกว่าความเมตตากรุณาสามารถเปลี่ยนจิตใจของคนเราได้มากกว่าการใช้หลักวิทยาศาสตร์หรือลีลาการพูดอันไพเราะที่ชวนให้หลงใหล
ชาวอินเดียคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของแม่ชีเทเรซ่าได้กล่าวไว้ว่าสิ่งที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุดที่เธอได้ทำคือการบอกให้ผู้ยากไร้ทั้งหลายได้รู้จักพระเยซูคริสต์ ชาวฮินดูเป็นจำนวนมากได้มาเชื่อวางใจในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ก่อนที่เขาจะตายไป การทำงานเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรมของแม่ชีเทเรซ่านั้นเป็นมาจากองค์พระคริสต์ที่อยู่ภายในเธอ สตรีที่สูงเพียง 4 ฟุต 11 นิ้วผู้นี้ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ยากไร้ด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่เห็นแก่ตัว เธอจึงเปรียบเหมือนเป็นดวงประทีปที่ส่องความสว่างและความหวังของพระเยซูคริสต์ไปยังโลกที่มืดมิด เธอเคยพูดไว้ว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้มาชื่นชมกับความสำเร็จ แต่ให้เราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์” สำหรับคนยากไร้ที่มีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสัตว์แต่ตายอย่างทูตสวรรค์นับว่าเป็นการปิดฉากชีวิตที่สวยงามทีเดียว!
ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียจะนับถือศาสนาฮินดู แต่แม่ชีเทเรซ่านั้นได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของชาติอินเดียที่ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งแยกทางศาสนา อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “โลกนี้โดยเฉพาะอินเดียยากจนลงกว่าเดิมเมื่อแม่ชีเทเรซ่าได้จากไป ชีวิตของเธอได้อุทิศให้กับการทำพันธกิจเพื่อนำความรัก สันติสุขและความชื่นชมยินดีไปยังผู้คนที่ใครๆก็รังเกียจและพยายามหลีกหนีไปให้ไกล”
ปีค.ศ. 1979 แม่ชีเทเรซ่าได้รับรางวัลโนเบลสาขามนุษยธรรม แต่เธอปฏิเสธการเข้าร่วมในงานเลี้ยงอันเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และเธอได้มอบเงินจำนวน 192,000 เหรียญสหรัฐ(5,760,000 บาท)ให้แก่คนยากจนในประเทศอินเดียโดยเธอได้กล่าวว่ารางวัลที่โลกนี้ให้มาจะมีความสำคัญมากทีเดียวหากเงินจำนวนนี้สามารถทำให้เธอตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต่ำต้อยในสังคม แม่ชีเทเรซ่าใช้ความมีชื่อเสียงของเธอเป็นฐานในการอนุรักษ์คุณธรรมอันทรงคุณค่าอย่างเข้มแข็ง ในปี ค.ศ. 1994 แม่ชีเทเรซ่าได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมอธิษฐานแห่งชาติที่กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวของเธอเกี่ยวกับการทำแท้งว่าเป็นการฆาตกรรมและกล่าวต่อไปอีกว่า "หากเรายอมรับผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งลูกในไส้ของตนเอง แล้วเราจะไปบอกผู้อื่นไม่ให้เข่นฆ่ากันได้อย่างไร?” เมื่อเธอกล่าวจบ ผู้คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมต่างก็ลุกขึ้นยืนปรบมือให้เธออย่างยาวนาน
แม่ชีเทเรซ่าไม่ได้แสดงอาการหวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ผู้ที่ผลิตสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของเธอได้ตั้งชื่อเรื่องว่า "ทูตจากนรก" เธอบอกกับนักหนังสือพิมพ์ว่าเธอไม่ถือสา “มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะตัดสินใจว่าคุณต้องการจะดำรงชีวิตอยู่แบบไหน แต่สำหรับฉัน ฉันจะทำงานของฉันต่อไป ฉันปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เราควรจะยิ้มรับและก้มหน้าทำงานของเราต่อไป การทำงานด้วยใจถ่อมสุภาพจะไม่มีอะไรมาแผ้วพานเราได้เลย ไม่ว่าใครจะยกย่องหรือเหยียดหยามเราไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ เพราะเราย่อมรู้จักตัวเราดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” ชีวิตและงานของแม่ชีเทเรซ่าต้องถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา เมื่อมีคนถามว่าเธอได้รับพละกำลังตลอดจนความอดทนต่อความยากลำบากในการทำงานมาจากไหน เธอตอบว่า “ฉันคิดว่าจะไม่มีใครต้องการพระคุณและความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากเท่าฉัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกอ่อนกำลังและขาดคนช่วย เมื่อนั้นแหละที่พระเจ้าทรงทำงานอยู่ในฉัน"
คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าแม่ชีเทเรซ่าเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง ในปี ค.ศ. 1983 เธอมีอาการของโรคหัวใจเป็นครั้งแรก เธอถูกขอร้องให้ลาออกหลายครั้ง แต่กรรมการก็ลงคะแนนเสียงให้เธออยู่ต่อ เธอได้รับเรี่ยวแรงมาจากพระเจ้า เธอเป็นที่รู้จักว่าเป็นนักรบที่อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง เธอย้ำถึงฤทธิ์เดชของการอธิษฐาน และหนุนใจให้คนอื่น ๆ อธิษฐานอยู่เสมอ
ในปี ค.ศ. 1997 หลังจากที่เธอได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดจากรัฐสภาของสหรัฐผ่านไปได้ 3 เดือน เธอก็มาถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ถ้อยคำสุดท้ายที่เธอกล่าวนั้นคือ"พระเยซู ข้าพระองค์รักพระองค์ พระเยซู ข้าพระองค์รักพระองค์" นึกไม่ถึงเลยว่ารัฐบาลอินเดียจะจัดพิธีศพเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ และเพื่อเป็นการสดุดีงานที่เธอทำเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้มาตลอดชีวิต เธอเสียชีวิตในสัปดาห์เดียวกันกับการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่า แม่ชีเทเรซ่าคือเจ้าหญิงตัวจริงในใจของผู้ยากไร้ทั้งหลาย เธอคือผู้หญิงที่ไม่มีความละอายในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์
ในช่วงชีวิตของแม่ชีเทเรซ่า เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1999 เธอได้รับยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดในยุคศตวรรษที่ 20 เธอเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนพระเยซูคริสต์ออกมาจากชีวิตของเธอ เธอได้รับในสิ่งที่เธอหว่านให้แก่ผู้อื่น ความรักที่เธอให้แก่คนที่ยากไร้ต้อยต่ำอย่างไม่มีขีดจำกัดเป็นเหตุให้คนทั้งโลกรักเธออย่างไม่รู้ลืม
เราได้เรียนรู้ถึงประวัติและการรับใช้ของผู้หญิงทั้ง 3 คนในยุคศตวรรษที่ 20 คือไอมี่ แคทเธอรีน และแม่ชีเทเรซ่ากันแล้ว เราได้เห็นถึงความเชื่อความศรัทธาและความเชื่อฟังที่พร้อมจะปฏิบัติพันธกิจตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่เขา เธอทั้ง 3 คนยอมละทิ้งความสุขสบาย ยอมทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ต้องเดินทางไกลเป็นเวลานาน ต้องเอาชนะความเหงา ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เธอทั้งสามต้องข้ามภูเขาแห่งปัญหาลูกแล้วลูกเล่า พระวิญญาณบริสุทธ์ได้ประทานฤทธิ์เดชให้แก่เธอทั้งสามให้สามารถทำงานที่เป็นไปไม่ได้ในสภาวะปกติธรรมดาให้บรรลุผลสำเร็จ หนังสือกิจการที่เธอทั้งสามจะเขียนต่อไปนั้นย่อมเป็นประจักษ์พยานได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำอะไรผ่านทั้งผู้รับใช้หญิงอย่างเธอทั้งสามคนนี้บ้าง
เราได้รับบทเรียนอันมีค่าจากชีวิตของไอมี่และแคทเธอรีน มารรู้ดีว่าจุดอ่อนของเราแต่ละคนนั้นอยู่ตรงไหน แคทเธอรีนกลัวสูญเสียโอกาสที่ผ่านเข้าไป เธอหว่านล้อมตัวเธอเองว่าการแต่งงานจะเปิดให้อีคนหนึ่งเข้ามาช่วยแบ่งเบาภารกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้ทำนั้น แต่น่าเสียดายที่เธอไปตกลงปลงใจกับผู้ชายที่มีภรรยาและลูกแล้ว ไอมี่เปิดโอกาสให้ผู้ชาย 2 คนเข้ามารบกวนพันธกิจที่เธอทำอยู่นั้น เธอพูดว่า เธอเหงาและคิดว่าผู้ชายจะเข้ามาช่วยงานพันธกิจของเธอได้ แต่แล้วเธอก็ต้องแยกทองจากเขาทั้งสองคนและยอมรับในความผิดพลาดของเธอ หากผู้หญิงทั้งสองคนนี้เชื่อฟังพระเจ้าโดยไม่พยายามหาเหตุผลแบบมนุษย์มาสนับสนุนความคิดของตน ความเจ็บปวด ความผิดหวังเสียใจและความเสียหายที่กระทบถึงพันธกิจที่เธอทำอยู่นั้นย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้