Alpaca อัลปากา
ตั้งแต่ครั้งอดีต เทือกเขาแอนเดสในอเมริกาใต้นั้นเป็นบ้านของอัลปาก้า ชาวอินคานิยมนำขนของพวกมันมาใช้งาน (เรียกกันว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" และฝูงอัลปาก้าอาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณเชิงเขาและทุ่งหญ้า ในศตวรรษที่ 17 ผู้บุกรุกชาวสเปนเข่นฆ่าชาวอินคาและอัลปาก้าจำนวนมาก ทำให้ตัวที่เหลืออยู่รอดหลบหนีไปอยู่ในภูเขาสูงที่เรียกกันว่า อัลติพลาโน เนื่องจากความสูงและภูมิประเทศ ทำให้ตัวที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด และพวกเขาได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของสายพันธู์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีความทนทาน และให้เส้นใยที่มีความหนาแน่นและมีคุณภาพสูง
ประเทศเปรู โบลิเวีย และชิลี ยังมีอัลปากาอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก นักเพาะพันธุ์อัลปาก้าจากทั่วโลกต่างเรียนรู้วิธีจากชาวอเมริกาใต้ อัลปาก้าเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐ ซึ่งครอบคลุมถึงอูฐหนอกเดียว อูฐสองหนอก ลา สัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้อง และกัวนาโค เขากินอาหารโดยใช้วิธีเคี้ยวเอื้องคล้ายวัว แต่มีสามกระเพาะ แทนที่จะมีสี่กระเพาะเหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้องทั่วไป อัลปาก้าเป็นสัตว์กินหญ้าตามทุ่งหญ้าและหญ้าแห้ง ทำให้การให้อาหารมีต้นทุนไม่สูง การให้แร่ธาตุเสริมในแต่ละวันก็เพียงพอ
อัลปาก้ามีสองชนิด ได้แก่ suri และ huacaya ซึ่ง suri จะให้เส้นใยที่ยาวและนุ่มเหมือนเส้นไหม มีลักษณะเหมือนเส้นดินสอ ส่วน huacaya ให้เส้นใยที่สั้น หนาแน่น เหมือนขนแกะ ให้ความรู้สึกเหมือนผ้าขนสัตว์
อัลปาก้ามีเท้าที่อ่อนนุ่ม ทำให้ไม่ทำลายทุ่งหญ้า อัลปาก้าไม่มีฟันด้านบน ส่วนสูงโดยเฉลี่ยคือ 125 เซนติเมตร และหนักระหว่าง 60 ถึง 80 กิโลกรัม อัลปาก้านั้นตัวเล็กและเชื่องพอที่จะสามารถเดินทางในรถกระบะ และสัมผัสกับมนุษย์ได้
อัลปาก้ามีช่วงชีวิตระหว่าง 15 ถึง 20 ปี ดังนั้นคุณสามารถเลี้ยงอัลปาก้าได้เป็นระยะเวลานาน เขาไม่เพียงสามารถสืบพันธุ์ได้อย่างยาวนาน แต่ยังสามารถให้ขนได้ตลอดชีวิต ทำให้การลงทุนของคุณคุ้มค่าในระยะยาว
ระยะเวลาตั้งครรภ์ของอัลปาก้าอยู่ที่ 11 ถึง 12 เดือน และให้กำเนิดลูกทีละตัว (ฝาแฝดจะพบได้ยากมาก) ลูกอัลปาก้าหรือที่เรียกว่า cria จะมีน้ำหนัก 7 ถึง 10 กิโลกรัม
เส้นใยจากอัลปาก้ามี 22 สีตามที่อุตสาหกรรมสิ่งทอในอเมริการับรอง และยังมีสีผสมอีกมากมาย อัลปาก้าสามารถตัดขนได้ปีละครั้ง ซึ่งจะได้ขนที่นุ่มและอบอุ่นครั้งละ 2 ถึง 4 กิโลกรัม ซึ่งมักจะกลายเป็นเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลก ใครๆ ก็สามารถเลี้ยงอัลปาก้าได้