ทำความรู้จักมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนปี 2013 ทั้ง 19 แห่ง
จากการประชุมครั้งที่ 37 ขององค์กร UNESCO ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เหล่าคณะกรรมการตัดสินใจประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกแห่งใหม่เพิ่มอีกเป็นจำนวน 19 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีสถานที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่สำคัญของโลกถึง 981 แห่ง จาก 160 ประเทศทั่วโลก โดยสถานที่ทั้ง 19 ที่ถูกเพิ่มเข้าไปนั้น มาจากประเทศไหนบ้าง และมีความสวยโดดเด่นอย่างไร วันนี้กระปุกท่องเที่ยวได้รวบรวมข้อมูลมาฝากคุณแล้วค่ะ
1. เทือกเขาเทียนซาน, ประเทศจีน
เทือกเขาเทียนซานในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่เดียวกับที่เราได้ยินในหนังจีนโบราณอยู่บ่อย ๆ นี้ มีชื่อเสียงจากวิวทิวทัศน์อันงดงามเมื่อยอดเขาหิมะปกคลุม ไล่เรียงลงมาถึงผืนทะเลทรายและทุ่งหญ้าที่อยู่ด้านล่าง ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมี “ทะเลสาบเทียนฉือ” ทะเลสาบกลางหุบเขาเป็นเสน่ห์อีกอย่างทำให้ให้ที่นี่ดูสวยยิ่งขึ้น
2. ภูเขาไฟเอตนา, ประเทศอิตาลี
ภูเขาไฟที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ยังคงปะทุอยู่แม้ในปัจจุบัน และมันจะดูงดงามเป็นพิเศษในช่วงหน้าหนาว เมื่อถูกปกคลุมด้วยหิมะไปทั่ว แต่กลับมีกลิ่นอายความร้อนระอุของลาวาอยู่ เกิดเป็นภาพร้อนตัดเย็นกลายความแตกต่างที่ลงตัว ซึ่งพอมาอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนเป็นภาพงานศิลปะของจิตกรเลยทีเดียว
3. ปล่องภูเขาไฟเอล ปินากาเต และพื้นที่สงวนชีวมณฑลแกรน เดเซียร์โต เด อัลตา, ประเทศเม็กซิโก
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของภูเขาไฟที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลเม็กซิโกแห่งนี้ ทำให้มันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 40 ชนิด นกอีก 200 และสัตว์เลื้อยคลานราว 40 ชนิด รวมทั้งยังมีพวกสัตว์น้ำกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอาศัยอยู่เช่นกัน โดยมันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 7,416 ตารางกิโลเมตร
4. ทะเลทรายนามิบ, ประเทศนามิเบีย
พูดถึงทะเลทรายแล้ว ใคร ๆ เป็นต้องนึกถึงความแห้งแล้งร้อนระอุกันก่อนแน่ ๆ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทะเลทรายนามิบโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น จากการที่มันเป็นทะเลทรายที่บรรจบพบกับน้ำทะเลพอดี เกิดเป็นภาพความแตกต่างที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ ทะเลทรายแห่งนี้จึงสวยตรึงใจจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
5. อุทยานแห่งชาติทาจิค, ประเทศทาจิกิสถาน
เขตสงวนที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียกลางแห่งนี้ ยังคงสวยงามปราศจากการรุกรานของมนุษย์ โดยพื้นที่ซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงพวกสัตว์หายาก อย่างเสือดาวหิมะและหมาป่าแดงที่ใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกทีแล้วด้วย ทำให้มันเป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และควรค่าแก่การเก็บรักษาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูแลกันต่อ
6. เรด เบย์ บาสก์ เวลลิง สเตชั่น, ประเทศแคนาดา
สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนแหล่งรวมประวัติศาสตร์การล่าปลาวาฬเลยก็ได้ เพราะมันมีทุกข้อมูลที่คุณต้องการจะรู้ ไล่ตั้งแต่วิธีการไล่ล่า มาถึงการชำแหละ ไปจนถึงการสกัดน้ำมันจากปลาวาฬ โดยมันเป็นที่ผลิตน้ำมันจากปลาวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีประวัติเก่าแก่ยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว มันจึงควรค่าแก่การอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน
7. ทุ่งนาขั้นบันไดฮาหนี, ประเทศจีน
ทุ่งนาขั้นบันไดฮาหนี ในเมืองหงเหอ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีความสวยงาม เป็นทุ่งนาที่ถูกจัดขึ้นไล่เรียงเป็นรูปขั้นบันไดสมชื่อจริง ๆ เพราะมันถูกจัดไล่เป็นขั้น ๆ เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามราวกับงานศิลปะ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมของชาวบ้านท้องถิ่นที่นิยมเพาะปลูกแบบขั้นบันไดอีกด้วย
8. ป้อมโบราณสถานเมืองแกซอง, ประเทศเกาหลีเหนือ
แม้จะเป็นประเทศปิดแต่ความงามของป้อมโบราณสถานเมืองแกซองก็ยังเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก โดยป้อมปราการนี้สร้างขึ้นเพื่อคุ้มกันเมืองแกซอง เมืองหลวงในยุคราชวงศ์โคเรียว ซึ่งมันอยู่บริเวณตอนเหนือของเส้นกั้นเขตแดนจากเกาหลีใต้พอดี และเมื่อมาที่นี่คุณจะสัมผัสได้ถึงอารยธรรมเก่าแก่ของประเทศเกาหลีทันที เพราะเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างอายุไม่ต่ำกว่าพันปีมากมาย ทั้งโรงเรียน บ้านเรือน รวมไปถึงสุสานของกษัตริย์คองมิน
9. เมืองท่าประวัติศาสตร์เลวูกา, ประเทศฟิจิ
เมื่อคุณได้เดินทางมาชมเมืองนี้แล้ว รับรองว่าจะต้องตื่นตาตื่นใจไปกับสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของมันแน่นอน เพราะสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้เป็นศิลปะแบบโคโลเนียลทั้งหมด จนเหมือนเราหลุดเข้ามาอยู่ในสมัยโบราณเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่เด่น ๆ ในเมืองนี้ได้แก่ โบสถ์ Sacred Heart และพิพิธภัณฑ์ฟิจิ
10. วนอุทยาน เบิร์กพาร์ค วิลเฮล์มโชเฮ, ประเทศเยอรมนี
ด้วยพื้นที่กว่า 2.4 ตารางกิโลเมตร ทำให้มันได้ชื่อว่าเป็นสวนบริเวณลาดเขาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยวนอุทยานซึ่งถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์บารอคนี้ มีสิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือ รูปปั้นทองแดงที่ทำเป็นรูปของเฮอร์คิวลิส เทพผู้ทรงพลังตามตำนานกรีก และช่วงต้นเดือนเมษายนไล่ไปถึงเดือนตุลาคม ทุกวันพุธกับวันอาทิตย์ช่วงบ่ายจะมีการปล่อยน้ำตั้งแต่บริเวณรูปปั้นเฮอร์คิวลิสไล่ไปตามขั้นบันได ก่อนจะสิ้นสุดที่ลานน้ำพุ เป็นภาพที่สวยงามมาก
11. ป้อมปราการฮิลล์ ฟอร์ตส แห่งราชาสถาน, ประเทศอินเดีย
ภูเขาอาราวัลลิส ถูกล้อมรอบไปด้วยป้อมปราการ ที่เป็นตัวแทนทำให้เราเห็นถึงการทหารที่แข็งแกร่งของประเทศ โดยภายในป้อมปราการนี้ คือ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีครบพร้อมทุกอย่าง ซึ่งความเก่าแก่ของสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างในป้อมนี้ มีตั้งแต่ศตวรรษที่ 7-20 โดยแต่ละป้อมจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และสามารถบ่งบอกถึงอารยธรรมในแต่ละปีได้เป็นอย่างดี
12. พระราชวังโกเลสตาน, ประเทศอิหร่าน
ความประณีตงดงามของศิลปะจากกระเบื้อง คือ สิ่งที่ทำให้พระราชวังโกเลสตานหรือวังสวนกุหลาบ ในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน มีชื่อเสียง โดยด้านนอกมีสวนดอกไม้และอ่างน้ำสีน้ำเงินที่ทำด้วยหินอ่อน ส่วนตัวอาคารนั้นมีป้อมสูงที่สร้างไว้ส่องดูข้าศึกมาแต่สมัยโบราน และมีตำหนักแบ่งออกเป็น 7 แห่ง ที่ด้านในประดับประดาด้วยกระเบื้องหลากสีงดงามไม่แพ้ด้านนอก
13. เมดิซี วิลลาส์ แอนด์ การ์เดน ในแคว้นทัสคานี, ประเทศอิตาลี
เมดิซี วิลลาส์ แอนด์ การ์เดน คือ แหล่งรวมสิ่งก่อสร้างสไตล์ชนบทที่มีเจ้าของเป็นตระกูลเมดิชิ ตระกูลที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของประเทศอิตาลี ซึ่งความหรูหราอลังการของมัน เกิดขึ้นจากการที่ตระกูลเมดิชิต้องการให้มันเป็นตัวแทนบ่งบอกถึงอำนาจและความร่ำรวยของตัวเอง นอกจากนี้ มันยังเป็นศูนย์กลางของแหล่งการเกษตรอีกด้วย
14. ภูเขาไฟฟูจิ, ประเทศญี่ปุ่น
ภูเขาไฟฟูจิ ถือเป็นภูเขาสูงที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูง 3,776 เมตร รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็นอุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ, คะวะงุจิโกะ, โมโตสุโกะ, โชจินโกะ และไซโก้ ซึ่งมันถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยมันมักปรากฏอยู่ในบทกลอนหรือภาพเขียนอยู่เสมอ
15. ศูนย์ประวัติศาสตร์อากาเดซ, ประเทศไนเจอร์
สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักดีในฐานะประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา โดยถูกสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 15-16 เมื่อชาวโทแรกเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ซึ่งในปัจจุบันมันยังคงสะท้อนสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในยุคนั้นให้เราได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่ใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนสำหรับพวกคาราวานต่าง ๆ ที่แบ่งออกเป็น 11 สาย พร้อมรูปร่างที่แปลกตา นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีจุดเด่นเป็นหอคอยสุเหร่าสูง 27 เมตรด้วย
16. กลุ่มโบสถ์ไม้เซอร์ควาส, ประเทศโปแลนด์และยูเครน
โบสถ์ที่สร้างจากขอนไม้จำนวนมากนี้ เกิดขึ้นระหว่างช่วงศตวรรษที่ 16 และ 19 ด้วยฝีมือของชาวคริสต์ เป็นตัวแทนบ่งบอกถึงศิลปะในยุคนั้น และความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า โดยตัวโบสถ์เป็นไม้ทั้งหมด ส่วนบนหลังคาก็ทำเป็นทรงโดมสีเงิน แถมด้านในยังตกแต่งด้วยภาพเขียนตามฝาผนังแบบคลาสสิก ให้กลิ่นอายย้อนยุคได้เป็นอย่างดี
17. มหาวิทยาลัยโคอิมบรา, ประเทศโปรตุเกส
มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของรัฐในประเทศโปรตุเกสแห่งนี้ งดงามอลังการยิ่งกว่ามหาวิทยาลัยไหน ๆ ในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยตัวอาคารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพระราชวังของพระเจ้าจอห์นที่ 3 แห่งประเทศอังกฤษ ทำให้มีรูปปั้นของพระองค์ตั้งอยู่ด้วย โดยมันถูกเปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมปี 1290 นับว่าเป็นอายุที่ยาวนานมากสำหรับมหาวิทยาลัย
18. เขตโบราณสถานอัล ซูบาเราะห์, ประเทศกาตาร์
หมู่บ้านโบราณที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเลนี้เคยเป็นหัวใจหลักของ การค้าขายแลกเปลี่ยนมาก่อน จนกระทั่งถูกทำลายลงเมื่อปี 1811 และถูกทิ้งร้างเมื่อปี 1900 แต่ทุกวันนี้สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณก็ยังคงหลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นป้อมปราการหรืออาคารบ้านเรือนต่าง ๆ
19. เมืองโบราณเทาริค เชอร์โซเนส, ประเทศยูเครน
สถานที่แห่งนี้คือสภาพที่เหลืออยู่ของเมืองที่ก่อตั้งโดยชาวดอเรียนกรีกสมัยศตวรรษที่ 5 โดยอยู่บริเวณตอนเหนือของชายฝั่งทะเล Black Sea ซึ่งมันยังคงทิ้งร่องรอยชีวิตความเป็นอยู่ในยุคนั้นให้เห็น ทั้งสิ่งก่อสร้างเก่าแก่จำพวกกำแพงหิน รวมไปถึงไร่องุ่นที่เป็นอาชีพหลักของท้องถิ่น โดยที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้เลยทีเดียว
สถานที่ส่วนใหญ่นั้นมีแต่ที่อายุเก่าแก่ยาวนาน ซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งนั้น ถึงได้คงความสวยงามมาได้นานขนาดนี้ จนได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกโลกด้วย ดังนั้น ถ้าอยากให้มันยังคงความสวยงามเอาไว้ให้ลูกหลานเราได้ดูกันบ้าง ก็คงต้องตั้งใจดูแลรักษากันหน่อยนะคะ