นิทานอีสป หนูเมืองกับหนูนา
นักเล่านิทานที่ชื่อว่า อีสป คือใคร
นักเล่านิทานเอกผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ได้เป็นที่รู้จักกันมานับหลายร้อยปีก่อนคริสตศักราช มาจนถึงบัดนี้ราวสองพันหกร้อยกว่าปีมาแล้ว
ตำนานกล่าวว่า อีสปเป็นทาสชาวกรีก เกิดที่แคว้นฟรีเยีย เมืองอะเมอเรียม (ตุรกี) เป็นชายที่มีเสียงพูดอู้อี้คล้ายเสียงของสัตว์ เขาเป็นคนหลังค่อม ทำให้การดำรงชีวิตของอีสป ต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยปฏิภาณไหวพริบอยู่เสมอ ทำให้เขากลายเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีปัญญาเฉียบแหลมสามารถแก้ไขสถานการณ์คับขันต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ต่อมาด้วยความที่เป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบดีนั่นเอง ทำให้อีสปได้รับการปลดปล่อยเป็ฯอิสระจากการเป็นทาส และได้เข้าไปอยู่ในตาชสำนักของกษัตริย์โครเอซุสแห่งแคว้นลิเดีย ณ ที่แห่งนี้เอง อีสปได้เล่านิทานด้วยศิลปะอันน่ายกย่องและสง่างามอย่างยิ่ง จนเป็นที่ชอบใจและโปรดปราณของกษัตริย์โครเอซุส
นิทาน 50 เรื่องเด่น ของอีสป ได้ถูกนำมาเล่าขานจากปากต่อปาก จากยุคสู่ยุค จนกระทั่งมีผู้ได้รวบรวมไว้เป็นภาษาลาตินเมื่อราว คริสตศักราช 1400 โดยต่อมามีนักบวช ชื่อ แมกซิมุส พลานูเดส ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษและให้ชื่อว่า "นิทานอีสป" (Aesop' s Fables) หลังจากนั้น นิทานอีสป ก็ถูกนำมาดัดแปลงและนำมาเล่ากันไปทั่วโลก แต่สาระ คติ ข้อคิด และความสนุกสนานของนิทานอีสปก็ยังคงความเป็นนิรันดร์อยู่ตลอดไป
ความเป็น "นิทานอีสป" ทำให้โลกนี้ไม่เหงา และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น คติของอีสปทำให้เราได้รู้ว่าโลกนี้ เราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ชีวิตแต่ละชีวิตต้องอาศัยกันและกันอยู่เสมอ อีสป คือ สุดยอดนักเล่านิทาน ที่ทำให้น้องๆ หนูๆ ได้รู้จักชีวิต รู้จักเพื่อนบ้านทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ไม่ว่าจะเป็น หนู ราชสีห์ แมว สุนัข นก ช้าง มด และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย
จากรุ่นสู่รุ่น "นิทานอีสป" ก็ยังเป็นตำนานแห่งความสุขสำหรับทุกๆ คนตลอดไป....
หนูเมืองกับหนูนา
กาลครั้งหนึ่ง หนูเมืองได้ไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่ชนบท ลูกพี่ลูกน้องของมันเป็นหนูที่เป็นกันเองและมันรักมิตรเช่นหนูเมืองมาก
ดังนั้นมันจึงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้หนูเมืองกินทั้งถั่ว เนยแข็ง และขนมปังอย่างไม่อั้น หนูเมืองประหลาดใจกับอาหารพวกนี้จึงพูดว่า
“ญาติที่รักข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าทนกินอาหารกระจอกๆ อย่างได้อย่างไร เอาเถอะข้าคิดว่านั่นเป็นเพราะเจ้าคงไม่อาจหวังอะไรที่ดีกว่านี้ได้
มากับข้าสิ แล้วข้าจะแสดงให้เห็นวิธีการใช้ชีวิต ถ้าเจ้าได้อยู่ในเมืองสักอาทิตย์ เจ้านะแปลกใจว่าเคยทนกับสภาพชีวิตในชนบทได้อย่างไร”
ไม่นานนักหนูสองตัวก็เดินทางเข้าเมือง และสุดท้ายทั้งคู่มาถึงบ้านพักของหนูเมืองในตอนดึก “เจ้าคงอยากได้เครื่องดื่มช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลังจากที่เดินทางมาแสนไกล” เจ้าหนูเมืองพูดอย่างสุภาพ และพาเพื่อนหนูไปยังห้องอาหารที่ใหญ่โต ที่นั่นพวกมันได้พบเศษอาหารที่เหลืออยู่จาก
งานเลี้ยงชั้นเลิศ เจ้าหนูสองตัวไม่รช้า รีบกินเค้กเยลลี่ รวมถึงของอร่อยอื่นๆ อีกมากมาย ทันไดนั้นเอง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเห่าหอน “อะไรน่ะ”
หนูนาถาม “ก็แค่พวกหมาเท่านั้น” หนูเมืองตอบ “เท่านั้นหรือ!” หนูนาร้อง “ข้าไม่ชอบเสียงดนตรีแบบนี้ในระหว่างอาหารเย็นเลย”
แล้วประตูก็เปิดออก สุนัขตัวใหญ่สองตัววิ่งเข้ามาเจ้าหนูสองตัวจึงต้องรีบกระโดดลงมาแล้ววิ่งหนีไป “ลาก่อนญาติที่รัก”
เจ้าหนูนาเอ่ย “เฮ้ย ทำไมรีบกลับนักล่ะ” “อืมม์” เจ้าหนูนาตอบ “ข้ายอมกินถั่ว ในความสงบ ดีกว่ากินเค้กในความหวาดกลัว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก